คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3848/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การส่งหมายเรียกหรือหนังสืออื่นถึงบุคคลใดเกี่ยวกับภาษีอากรฝ่ายสรรพากรโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคแรกนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติวิธีการส่งไว้อย่างในกรณีที่มีผู้นำส่ง แต่ย่อมเห็นได้ว่าพนักงานไปรษณีย์ผู้นำส่งจะต้องส่งให้แก่ผู้รับหรือบุคคลที่อยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับตามที่ผู้ส่งได้จ่าหน้าซองไว้จึงจะถือได้ว่าเป็นการส่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นถ้าปรากฏว่าผู้ที่พนักงานไปรษณีย์ให้ลงลายมือชื่อรับหนังสือไว้แทนโจทก์ไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในบ้านโจทก์ ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับหนังสือในวันดังกล่าว ต้องถือเอาวันที่โจทก์ได้รับจริง
โจทก์ได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินรายนี้มาโดยการรับจำนองและจดทะเบียนหลุดเป็นสิทธิตั้งแต่ พ.ศ. 2466 แล้วได้ครอบครองทำนาทำสวนตลอดมาเป็นเวลา 35 ปี จึงได้แบ่งเป็นแปลงเล็ก ๆ เพื่อสะดวกในการขายและให้ได้ราคาดีขึ้นแสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนามาก่อนเลยว่าจะนำที่ดินแปลงนี้มาจัดสรรขาย การที่โจทก์รับจำนองไว้ก็เพื่อหวังจะได้ดอกเบี้ย ไม่ได้หวังจะได้ที่ดินมาเพื่อทำการค้าแต่อย่างใด และโจทก์เพิ่งขายไปหลังจากได้กรรมสิทธิ์มาถึง 47 ปีเศษ การขายที่ดินของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นการขายสมบัติเก่าในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจากพนักงานของจำเลยที่ 1 รวม 4 ฉบับ แจ้งว่าโจทก์ไม่จดทะเบียนการค้าและไม่ยื่นแบบแสดงรายการการค้าจากการขายที่ดิน จึงได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 314,570.39 บาท โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อจำเลยที่ 2 – 4 อ้างว่าโจทก์ไม่ได้มีอาชีพในการค้าขายที่ดิน ที่ดินดังกล่าวเป็นสมบัติเก่าที่ใช้ในการประกอบอาชีพ ไม่ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้มาเพื่อเป็นการค้าหรือหากำไร จึงไม่ควรต้องเสียภาษีการค้าจำเลยที่ 2 – 4 ซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าการขายที่ดินของโจทก์เป็นทางค้าหากำไรแต่ให้งดเบี้ยปรับ โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อที่ว่าการขายที่ดินของโจทก์เป็นทางค้าหรือหากำไรยังไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลย และคืนเงินภาษีที่โจทก์ชำระไปแล้วแก่โจทก์

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ได้ที่ดินตามฟ้องมาโดยจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินประเภทหลุดเป็นสิทธิเมื่อ พ.ศ. 2466 โดยเจ้าของที่ดินเดิมนำมาประกันเงินกู้ โจทก์ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการให้กู้เงินจึงถือได้ว่าเป็นทางค้าหากำไรตั้งแต่เริ่มแรก ต่อมาโจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงเล็ก ๆ ทำถนนซอยเข้าไปในที่ดินทุกแปลงเพื่อสะดวกในการขายและเพื่อให้ราคาดีขึ้น และได้ขายที่ดินไป แสดงว่าโจทก์เป็นผู้ทำการค้าที่ดินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 เข้าลักษณะตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11 แต่โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนการค้ากับเสียภาษีการค้า เจ้าพนักงานประเมิน จึงได้แจ้งการประเมินส่งไปให้โจทก์ทราบ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การขายที่ดินของโจทก์เป็นการขายสมบัติเดิมของโจทก์ จึงมิใช่เป็นผู้ประกอบการค้าอันจะต้องเสียภาษี แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลเกินกำหนด 30 วัน นับแต่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด การขายที่ดินของโจทก์ไม่เข้าลักษณะการค้าอันจะต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรพิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามฟ้อง ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินภาษีที่โจทก์ชำระไว้แล้วแก่โจทก์

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การส่งหมายเรียกหรือหนังสืออื่นถึงบุคคลใดเกี่ยวกับภาษีอากรฝ่ายสรรพากรนั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคแรก บัญญัติว่า จะให้นำไปส่งในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือจะส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ได้ และวรรคสองบัญญัติถึงกรณีที่มีผู้นำส่งไว้ว่า “ถ้าให้นำไปส่งเพื่อผู้ส่งไม่พบผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว และอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับก็ได้” ส่วนการส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติไว้อย่างในกรณีที่ผู้นำส่ง แต่ก็ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าพนักงานไปรษณีย์ผู้นำส่งจะต้องส่งให้แก่ผู้รับหรือบุคคลทีอยู่ในบ้านหรือสำนักงานของผู้รับตามที่ผู้ส่งได้จ่าหน้าซองไว้นั่นเองจึงจะถือได้ว่าเป็นการส่งที่ชอบด้วยกฎหมายฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ที่พนักงานไปรษณีย์ให้ลงลายมือชื่อรับหนังสือไว้แทนโจทก์นั้นไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในบ้านโจทก์ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับหนังสือในวันดังกล่าว หากแต่ต้องถือเอาวันที่โจทก์ได้รับจริงคือวันที่ 7 มีนาคม 2523 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลเมื่อวันที่ 3 เมษายน2523 จึงยังอยู่ภายในกำหนดเวลา 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์จึงยังมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาลได้ตามมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากรและตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78ผู้ประกอบการค้าซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายลักษณะ 2 หมวด 4 ประเภทการค้า 11 (การค้าอสังหาริมทรัพย์)นั้น ได้ระบุถึงรายการที่ประกอบการค้าไว้ว่า “การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร” ตามบทกฎหมายดังกล่าวนี้ ผู้ขายจะต้องเสียภาษีการค้าก็ต่อเมื่อการขายนั้นเป็นทางค้าหากำไรเท่านั้น ปัญหาที่จะต้องพิจารณาจึงมีว่า การที่โจทก์ขายที่ดินไปดังกล่าวเป็นทางค้าหากำไรหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินรายนี้มาโดยการรับจำนองและจดทะเบียนหลุดเป็นสิทธิตั้งแต่ พ.ศ. 2466 แล้วโจทก์ได้ครอบครองทำนาทำสวนตลอดมา จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2500 จึงได้แบ่งเป็นแปลงเล็ก ๆเพื่อสะดวกในการขาย และให้ได้ราคาดีขึ้น รวมเวลาที่โจทก์ครอบครองมาถึง 35 ปี แสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนามาก่อนเลยว่าจะนำที่ดินแปลงนี้มาจัดสรรขาย การที่โจทก์ได้รับจำนองไว้ก็เพื่อหวังจะได้ดอกเบี้ยเท่านั้นไม่ได้หวังจะได้ที่ดินมาเพื่อทำการค้าแต่อย่างใด และโจทก์เพิ่งขายที่ดินดังกล่าวไปเมื่อ พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2516 หลังจากได้กรรมสิทธิ์มาถึง47 ปีเศษ การขายที่ดินของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นการขายสมบัติเก่าในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์นั่นเอง และการที่โจทก์ปรับปรุงที่ดินโดยตัดถนนซอยและแบ่งเป็นแปลงเล็ก ๆ ก็เพื่อจะให้ขายที่ดินได้ง่าย และให้ได้ราคาดีขึ้นเท่านั้น เพราะการขายที่ดินแปลงใหญ่มีเนื้อที่ถึง 99 ไร่เศษ ย่อมขายได้ยากดังนี้จึงถือได้ว่า การที่โจทก์ขายที่ดินไปนั้นไม่ใช่เป็นทางค้าหรือหากำไรโจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

พิพากษายืน

Share