คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4357/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า ถ้าจำเลยนำพยานมาสืบจะทำให้จำเลยชนะคดี เนื่องจากโจทก์ย้ายไปอยู่ที่อื่นโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายในอายุความ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยแล้ว โจทก์ได้เช่าที่นาของจำเลยทำกินซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าถ้ามีการพิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีเป็นคำขอที่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้ว เหตุที่จำเลยอ้างว่าจำเลยขาดนัดเพราะติดต่อหาทนายความไม่ได้และเมื่อหาทนายความได้แล้วทนายความก็ติดว่าความคดีอื่นในวันนัดถึง 3 คดี จึงยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีไม่ทันนั้น แม้จะไต่สวนได้ความจริงเช่นนั้น ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นชื่อโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีแต่ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาในวันเดียวกันนั้นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นชื่อโจทก์
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง บัญญัติเพียงว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ให้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยอ้างว่าถ้าจำเลยนำพยานมาสืบแก้ฟ้องได้จะทำให้จำเลยชนะคดีเนื่องจากโจทก์ย้ายไปอยู่ที่อื่นโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายในอายุความ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท โจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยแล้วโจทก์ได้เช่าที่นาของจำเลยทำกิน ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าถ้ามีการพิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดี เห็นได้ว่าเป็นคำขอที่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล พอที่จะให้ศาลพิเคราะห์ได้ว่าสมควรจะมีการไต่สวนตามคำขอของจำเลยหรือไม่
เหตุที่จำเลยอ้างว่าจำเลยขาดนัดเพราะติดต่อหาทนายความไม่ได้และเมื่อหาทนายความได้แล้วทนายความก็ติดว่าความคดีอื่นในวันนัดถึง 3 คดี จึงยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีไม่ทันนั้น เป็นเหตุสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่หรือไม่ ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เพื่อให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วและเห็นว่าข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวนั้นถึงแม้จะไต่สวนได้ความจริงเช่นนั้น ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามคำร้องของจำเลย
พิพากษายืน

Share