คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ทรัพย์สินซึ่งศาลพิพากษาให้ริบจะตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35 ก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่เมื่อมีการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในข้อดังกล่าวและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา รถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าว จึงยังหาตกเป็นของแผ่นดินไม่ ดังนั้น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางย่อมโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ร้องได้ เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามโอนกรรมสิทธิ์กันไว้ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริง และมีสิทธิยื่นคำร้อง ขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วภายในกำหนด 1 ปีได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 134, 160 ทวิ จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามแต่ไม่ริบรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 1 บ-5593 หมายเลขทะเบียน ชัยภูมิ ฉ-8425 และหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 4 ผ-9584 ของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางทั้งหมด และศาลฎีกาพิพากษายืน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ขณะเกิดเหตุรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 1 บ-5593 (ปัจจุบันหมายเลขทะเบียน ชัยภูมิ ต-4930) เป็นกรรมสิทธิ์ของนายสนิท ปิ่นคำ พี่ชายผู้ร้อง ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2539 นายสนิทโอนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวให้ผู้ร้องทั้งนายสนิทและผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยที่ 3 นำรถไปกระทำความผิด ขอให้สั่งคืนรถคันดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 1บ-5593 ของกลางมิใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง ขณะเกิดเหตุผู้ร้องยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2539 ให้ริบของกลางย่อมตกเป็นของแผ่นดินไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์หรือยึดถือได้ แต่ผู้ร้องรับโอนภายหลังจากศาลอุทธรณ์ ภาค 1 มีคำพิพากษาแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้คืนรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 1 บ-5593 (ปัจจุบันหมายเลขทะเบียน ชัยภูมิ ต-4930) ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เดิมรถจักรยานยนต์ของกลางใช้ทะเบียนหมายเลข กรุงเทพมหานคร 1 บ-5593 เป็นของนายสนิท ต่อมานางสาวขวัญใจ โชคเฉลิม จำเลยที่ 3 นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขับและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2538 เป็นคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามแต่ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางโดยได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2539 ครั้นวันที่ 5 กรกฎาคม 2539 นายสนิทโอนกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง แล้วได้มีการขอเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นชัยภูมิ ต-4930 ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 ได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาโดยศาลฎีกาพิพากษายืนให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2540 ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ริบของกลางเป็นของแผ่นดินแล้ว ที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางจึงยังไม่เข้าข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เพราะขณะเกิดเหตุผู้ร้องยังมิได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางได้นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 34 ไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของที่แท้จริงว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำความผิดก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำเสนอของเจ้าของที่แท้จริงนั้นจะต้องกระทำต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ซึ่งหากพิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าวย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าเฉพาะผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกริบที่ไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในขณะมีการกระทำความผิดเท่านั้น จึงจะมีสิทธิมายื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบได้ดังเช่นโจทก์ฎีกา แต่ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 นั้น ย่อมมีอำนาจจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของตนได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น ยังไม่ทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35 เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากมีการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ควรริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ดังนั้นระหว่างที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาคือถึงวันที่ได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 อันเป็นวันที่คดีถึงที่สุดซึ่งจะทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางที่ถูกริบตกเป็นของแผ่นดิน การที่นายสนิทเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางโอนกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2539 ย่อมมีสิทธิที่จะกระทำได้โดยชอบมิใช่เป็นการโอนกรรมสิทธิ์กันโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังเช่นที่โจทก์ฎีกา เพราะขณะนั้นคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามโอนกรรมสิทธิ์กันไว้ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริง และมีสิทธิมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วภายในกำหนด 1 ปี ทั้งทางนำสืบขอผู้ร้องก็ได้ความว่าผู้ร้องและนายสนิทเจ้าของเดิมของรถจักรยานยนต์ของกลางขณะที่จำเลยที่ 3 นำไปใช้ในการกระทำความผิดมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วย จึงต้องคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยและพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share