คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานมิใช่สัญญากู้ยืม หากเป็นหลักฐานการกู้ยืมเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แม้จะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็หาต้องด้วยข้อห้ามในการรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในต้นเงินกู้ยืมและดอกเบี้ย 52,663 บาท แต่ฟังได้ว่าจำเลยต้องรับผิดในต้นเงินเพียง 18,000 บาท และไม่ค้างชำระดอกเบี้ย มีเหตุสมควรให้จำเลยรับผิดเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเท่าที่โจทก์ชนะคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน ๕๒,๖๖๓ บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระต้นเงินบางส่วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยคืนให้แก่โจทก์แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นจำนวน ๑๘,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันทวงถามไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาจำเลยในปัญหาว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๒ ยังมิได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น จำเลยมิได้อ้างว่าโจทก์ติดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนอย่างไร อย่างไรก็ตาม เห็นว่าเอกสารหมาย จ.๒ มิใช่เป็นสัญญากู้ยืม หากเป็นหลักฐานการกู้ยืมเท่านั้นจึงไม่เข้าข่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ ดังนั้น แม้จะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็หาต้องด้วยข้อห้ามในการรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายขอให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่โจทก์ชนะคดีนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในต้นเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๕๒,๖๖๓ บาท แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยต้องรับผิดในต้นเงินเพียง ๑๘,๐๐๐ บาท และไม่ค้างชำระดอกเบี้ย คดีจึงมีเหตุสมควรให้จำเลยรับผิดเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเท่าที่โจทก์ชนะคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share