คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน พร้อมกับนำเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมไปตรวจค้นและยึดเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายได้เป็นของกลาง คำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวแม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อนำมาประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับกุมและสอบสวน พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7), 357, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์มีร้อยตำรวจโทสุเทพ ธนะสิทธิ์ ผู้จับกุมจำเลยกับพวกมาเบิกความยืนยันว่า หลังจากจับกุมจำเลยกับพวกในข้อหาซ่องโจรแล้ว จำเลยกับนายประเสริฐรับสารภาพว่าเคยลักรถจักรยานยนต์มาจากซอยราชศักดิ์ โดยจำเลยเป็นคนลักมา แล้วจำเลยกับนายประเสริฐได้แยกชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวและเก็บชิ้นส่วนต่างๆ ไว้ที่บ้านนายประเสริฐ จึงนำตัวไปตรวจค้นที่บ้านดังกล่าว พบเครื่องรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปและเครื่องมืออีกจำนวนหนึ่ง จึงยึดไว้เป็นของกลางและแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายประเสริฐว่าร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ปรากฏตามบันทึกการจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา และตรวจค้น เอกสารหมาย จ.6 ยิ่งกว่านี้ในชั้นสอบสวนจำเลยยังให้การรับสารภาพว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่จอดไว้ในซอยราชศักดิ์ นำไปที่บ้านนายประเสริฐบอกให้นายประเสริฐทราบ และได้ร่วมกับนายประเสริฐถอดชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ดังกล่าวเก็บไว้ที่บ้านนายประเสริฐ นายประเสริฐได้ขายชิ้นส่วนบางอย่างของรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายไป นำเงินไปกินและเที่ยวกับจำเลยจนหมด ทั้งยังนำพนักงานสอบสวนออกไปชี้สถานที่เกิดเหตุให้ทำบันทึกการนำชี้สถานที่เกิดเหตุและยอมให้ถ่ายภาพประกอบแผนโจรกรรมไว้ด้วย ปรากฏตามคำให้การของผู้ต้องหา เอกสารหมาย จ.7 บันทึกการนำผู้ต้องหาชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เอกสารหมาย จ.10 และภาพถ่ายแสดงผู้ต้องหานำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ (รวม 5 ภาพ) ท้ายเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งโจทก์มีร้อยตำรวจโทภิญโญ ใหญ่ไล้บาง พนักงานสอบสวนมาเบิกความยืนยันประกอบ ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการไปตามหน้าที่ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุ จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความจริง โดยมิได้ปรักปรำจำเลยและเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไปตามความจริงที่จำเลยนำสืบว่า ในชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายจำเลยและบังคับให้จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเจ้าพนักงานตำรวจไม่น่าจะกระทำเช่นนั้น เพราะไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยและเสี่ยงต่อการถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทำร้ายร่างกายผู้อื่นในภายหลังได้ จริงอยู่คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยลักทรัพย์ผู้เสียหาย และคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นแต่เพียงพยานบอกเล่าก็ตาม แต่จำเลยก็นำเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมไปตรวจค้นและยึดเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายได้เป็นของกลางตามคำรับสารภาพของจำเลย ดังนั้นคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวย่อมรับฟังในฐานะเป็นพยานประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้จับกุมและสอบสวนจำเลย ลงโทษจำเลยได้ พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟังได้ว่าจำเลยลักทรัพย์ตามฟ้อง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 โดยมิได้ระบุวรรคนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.

Share