แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดินให้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายที่ดิน จำเลยจึงมีอำนาจนำที่ดินดังกล่าวออกให้เช่าซื้อและมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อได้ โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลยสัญญาย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จะมาฟ้องขอเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วคืนโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมิใช่เจ้าของที่ดินตามสัญญาหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ โจทก์ตกลงเช่าซื้อที่ดินจากจำเลย ๓ แปลงราคา ๗๕,๐๐๐ บาท โดยจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของจำเลยรับเงินจำนวน ๔๕,๐๐๐ บาท จากโจทก์ไปแล้ว ต่อมาโจทก์ทราบว่าที่ดินที่โจทก์เช่าซื้อนั้นไม่ใช่ที่ดินของจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงโจทก์ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ โจทก์ขอเงินคืนจากจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉยจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่าที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อเป็นของนายคำฮ้อยแก้วกัลยา ซึ่งนายคำฮ้อยทำสัญญาให้จำเลยเป็นผู้นำที่ดินออกแบ่งขายแก่บุคคลภายนอกได้ซึ่งโจทก์ก็ทราบ จำเลยไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและไม่สมบูรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยเสนอขายที่ดินจัดสรรซึ่งเป็นของนายคำฮ้อย แก้วกัลยา อยู่ตำบลบ้านยาง อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ให้โจทก์โจทก์ตกลงซื้อแปลงหมายเลข ๑๓ ถึง ๑๕ ตามแผนผังที่ดินจัดสรรเอกสารหมาย จ.๑ ในราคาแปลงละ ๒๕,๐๐๐ บาท รวมราคา๗๕,๐๐๐ บาท และทำสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๔ ตามลำดับ โจทก์สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาภูเขียว จำนวนเงิน๔๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลย จำเลยได้รับเงินแล้วตามเอกสารหมาย จ.๕ ต่อมาโจทก์ขอเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลย จำเลยไม่คืน คดีมีปัญหาว่าจำเลยผิดสัญญา ต้องคืนเงินให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากโจทก์ว่าก่อนทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยบอกโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเอง และทั้งบริเวณที่พิพาทจะจัดทำตลาดสดและสถานีจอดรถโดยสาร ต่อมาจำเลยไม่ได้ดำเนินการจัดทำตลาดสดและสถานีรถโดยสารดังกล่าว ทั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม๒๕๒๗ เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ เกษตรสมบูรณ์บอกโจทก์ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนายคำฮ้อย แก้วกัลยา โจทก์มีนายสันติชัย อภิรักษ์สุนทรภรณ์ พี่ชายเบิกความสนับสนุนว่านายสันติชัยเป็นเพื่อนจำเลยแต่ไม่ทราบว่าจำเลยจะจัดสรรที่ดินโดยมีสัญญากับนายคำฮ้อยหรือไม่ ฝ่ายจำเลยนำสืบอ้างว่า ก่อนโจทก์จะทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยบอกโจทก์แล้วว่า ที่ดินเป็นของนายคำฮ้อยโจทก์ได้ไปสอบถามนายคำฮ้อยและได้ไปดูที่พิพาท จำเลยได้รับมอบอำนาจจากนายคำฮ้อยให้จัดสรรจำหน่ายที่พิพาทได้ ตามเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งนายสมาน ฤาชา ปลัดอำเภอเกษตรสมบูรณ์เป็นพยาน จำเลยมีนายคำฮ้อยและนายสมานเป็นพยานเบิกความสนับสนุนสอดคล้องกัน เมื่อพิเคราะห์ข้อความในข้อ ๓ ของเอกสารหมาย ล.๑ ปรากฏใจความว่า”
..การลงทุนทุกกรณีในการจัดรูปที่ดินและดำเนินงานเพื่อจัดสรรจำหน่ายที่ดินตามสัญญานี้ นายคำฮ้อย แก้วกัลยา จะไม่เกี่ยวข้องทุกกรณี ให้ถือว่าอำนาจสิทธิขาดการดำเนินงานจนกระทั่งการจำหน่ายที่ดินเป็นอำนาจของนายทรงชัย อินทรารักษ์ (จำเลย) แต่เพียงผู้เดียว
” น่าเชื่อว่านายคำฮ้อยเจ้าของที่พิพาทมอบให้จำเลยมีอำนาจดำเนินงานจัดสรรจำหน่ายที่พิพาทจริง เมื่อคำนึงถึงการที่โจทก์รับว่าโจทก์และพี่ชายโจทก์รู้จักจำเลยและนายคำฮ้อยเจ้าของที่พิพาทดีก่อนที่โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๒ถึง จ.๔ และโจทก์รับว่าที่พิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ประมาณ ๑กิโลเมตร ก่อนโจทก์ทำสัญญาก็มีการย้ายตลาดสดจากที่ราชพัสดุเดิมมาบริเวณที่พิพาทแล้วบางส่วน นอกจากนั้นปรากฏว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อเมื่อพ.ศ.๒๕๒๔ แต่เพิ่งเกิดพิพาทกันเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ น่าเชื่อตามคำพยานจำเลยว่าโจทก์ทราบดีว่าที่พิพาทเป็นของนายคำฮ้อยให้จำเลยดำเนินการจำหน่ายโดยวิธีจัดสรรให้เช่าซื้อศาลฎีกาเห็นว่าการที่นายคำฮ้อยเจ้าของที่พิพาท ทำหลักฐานเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย ล.๑ ให้อำนาจจำเลยดำเนินการจัดสรรจำหน่ายที่ดิน จำเลยมีอำนาจนำที่พิพาทออกให้โจทก์เช่าซื้อและมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.๑ ถึง จ.๔ ได้ โดยไม่จำต้องแสดงหลักฐานการรับมอบอำนาจจากนายคำฮ้อยให้โจทก์ดูแต่อย่างไร สัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.๒ ถึง จ.๔ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ ทั้งจำเลยยืนยันว่าพร้อมที่จะโอนที่พิพาทให้โจทก์ถ้าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระให้จำเลยไปแล้วจำนวน ๔๕,๐๐๐ บาท คืนจากจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์.