คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่าทางเดินตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์และตอนต่อไปบรรยายว่าทางเดินนี้ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะทางเดินอาจตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินรายอื่น และก็อาจกลายสภาพเป็นทางสาธารณะได้ ซึ่งเมื่อเป็นทางเดินสาธารณะแล้วสิทธิในภารจำยอมของเจ้าของที่ดินรายอื่นก็ย่อมถูกกลืนหมดสภาพไปในตัว
พฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นการอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย
รับซื้อที่ดินที่เจ้าของเดิมได้อุทิศบางส่วนให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ไปโดยปริยายแล้ว แม้ที่ดินส่วนนั้นจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินที่รับซื้อไว้ ผู้ซื้อที่ดินนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้ และแม้จะมีผู้ทำหลังคาและชายคารุกล้ำที่ดินส่วนนั้น ผู้ซื้อที่ดินก็มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องให้ตัดหลังคาและชายคาได้
กั้นรั้วสังกะสีปิดหน้าบ้านของโจทก์จนโจทก์ไม่มีทางที่จะออกไปสู่ทางสาธารณประโยชน์ และทำการค้าขายไม่ได้ตามที่เคย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดของจำเลยตั้งแต่วันฟ้องซึ่งศาลพิพากษาบังคับให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4) ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และบุคคลอื่นได้ใช้ทางเดินในที่ดินโฉนดที่ 4536 โดยสงบเปิดเผยมานานหลายสิบปีแล้ว ทางเดินดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมและกลายสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวและได้ทำรั้วสังกะสีปิดกั้นหน้าที่ดินโจทก์ ขอให้แสดงว่าทางเดินดังกล่าวเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์และให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีกับใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องทางเดินตามฟ้องมิใช่ทางภารจำยอมและมิใช่ทางสาธารณะ และฟ้องแย้งว่าโจทก์ปลูกบ้านทำหลังคารุกล้ำที่ดินของจำเลย ขอให้โจทก์ตัดหลังคาออก

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้ว ห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางเดินซึ่งเป็นทางภารจำยอม และให้โจทก์ตัดหลังคาออก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์ให้จำเลยรื้อรั้วและยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าที่โจทก์บรรยายฟ้องในตอนแรกว่าทางเดินตกเป็นการจำยอมของที่ของโจทก์ แล้วต่อมาโจทก์บรรยายว่าทางเดินนี้ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้วเป็นการบรรยายถึงความเป็นมาแห่งสภาพของที่ดินที่เป็นทางเดินนั้น และจำเลยเข้าใจข้อกล่าวอ้างของโจทก์ได้ชัดเจนดีแล้ว ไม่หลงข้อต่อสู้ ทั้งทางพิพาทอาจตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์และก็อาจกลายสภาพเป็นทางสาธารณะได้ หากเป็นทางเดินสาธารณะสิทธิในภารจำยอมของโจทก์ก็ย่อมถูกกลืนหมดสภาพไปในตัว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และเห็นว่าที่ดินซึ่งประชาชนในหมู่บ้านประมาณ 5-6 ร้อยคนใช้เป็นทางเดินไปมาระหว่างทางสาธารณะเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว และผู้ซื้อที่ดินก่อนจำเลยได้จัดถมทางเดินตามหัวคันนาให้ดีขึ้นเพื่อสะดวกแก่คนเดินไปมาทั้งเมื่อได้มีผู้เรี่ยไรเงินชาวบ้านสร้างเป็นทางคอนกรีต ผู้ซื้อที่ดินนั้นก็ไม่ได้ห้ามปรามขัดขวาง กลับพูดว่าทำให้เดินสะดวกดีขึ้น พฤติการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นการอุทิศที่ดินนั้นให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายแล้ว จำเลยเพิ่งมาซื้อที่ดินภายหลังที่ได้มีการอุทิศทางพิพาทแล้ว แม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้และจำเลยไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องให้โจทก์ตัดหลังคาและชายคาที่รุกล้ำเข้ามาบนทางสาธารณะนั้น

เมื่อฟังว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะแล้ว การที่จำเลยกั้นรั้วสังกะสีปิดหน้าบ้านโจทก์จนไม่มีทางที่จะออกไปทางพิพาทและทำการค้าขายไม่ได้ด้วย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยเสียตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นค่าเสียหายในอนาคต โจทก์ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลอนาคต จึงไม่ชอบที่โจทก์จะได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้นั้น เห็นว่าค่าเสียหายในคดีนี้ศาลพิพากษาบังคับให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4) จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคตตามตาราง 1 ข้อ 4

พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทก์

Share