คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ที่ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น กฎหมายมีความประสงค์จะให้ใช้ในศาลชั้นต้นเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่าวรรคสุดท้ายของมาตรา 24 ดังกล่าวได้บัญญัติไว้ว่าคำสั่งใด ๆ ของศาลที่ได้ออกตามมาตรานี้ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 , 228 และ 247 ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย
การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง จ. และ ช. กับผู้ร้องไม่ได้ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายที่ดินดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่ จ. และ ช. ครบถ้วนแล้ว จ. และ ช. ก็ได้มอบโฉนดที่ดินพร้อมกับทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว นอกจากนี้ในการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนี้ จ. และ ช. และผู้ร้องได้ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ว่า จ. และ ช. ได้ลงชื่อและพิมพ์มือในใบมอบอำนาจพร้อมทั้งมอบโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ร้องเพื่อนำไปโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้นับแต่วันทำบันทึกเป็นต้นไปโดยไม่จำกัดเวลา แสดงให้เห็นเจตนาของ จ. และ ช. ว่าต้องการมอบอำนาจเด็ดขาดให้ผู้ร้องไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ใดและเวลาใดก็ได้สุดแล้วแต่ผู้ร้อง ทั้งไม่มีข้อจำกัดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินที่ผู้ร้องได้รับมอบอำนาจดังกล่าวนี้ ผู้ร้องจะต้องขายที่ดินดังกล่าวในราคาเท่าใด ก็สุดแล้วแต่ความพอใจของผู้ร้อง หลังจากที่ จ. และ ช. มอบโฉนดที่ดินและมอบอำนาจให้ผู้ร้องแล้วก็ไม่ปรากฏว่า จ. และ ช. ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกเลย จนกระทั่ง จ. ถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ของ จ. และ ช. ดังกล่าวถือได้ว่ามีเจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวแทน จ. และ ช. เมื่อผู้ร้องได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งหรือคัดค้านผู้ร้อง การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมนายจำรัส สาตรแสงและนางชุ่ม สำราญวงศ์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1454 เนื้อที่ 57 ไร่ 3 งาน 32 ตารางวา และนางชุ่มเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1758 เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2499 นายจำรัสและนางชุ่มขายที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องชำระเงินครบถ้วนแล้ว นายจำรัสและนางชุ่มจึงทำหนังสือมอบอำนาจโอนขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลง โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา 30 ปีเศษ ต่อมานายจำรัสและนางชุ่มถึงแก่ความตายโดยมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่งให้ที่ดินโฉนดที่ 1454 เนื้อที่ 57 ไร่ 3 งาน 32 ตารางวา และโฉนดที่ 1758 เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง และให้เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาบางกะปิ จดทะเบียนให้ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 คัดค้านว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เป็นบุตรของนายจำรัสและนางขำ สาตรแสง นายจำรัสถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางชุ่มในที่ดินโฉนดที่ 1454 เมื่อนายจำรัสถึงแก่ความตาย ที่ดินส่วนของนายจำรัสจึงตกเป็นทรัพย์มรดกแก่ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ตลอดระยะเวลาที่นายจำรัสและผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ครอบครองที่ดินดังกล่าว ไม่มีบุคคลใดหรือผู้ร้องเข้าครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน นายจำรัสและนางชุ่มไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ไม่เคยได้รับเงินค่าขายที่ดิน และไม่เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้แก่ผู้ร้อง นายจำรัสให้นายภาพ เนียมพึ่ง กับนายซบ ซอโง๊ะ เช่าที่ดินดังกล่าวทำนามาตลอด ขอให้ยกคำร้องขอ
ผู้คัดค้านที่ 3 คัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ
ผู้คัดค้านที่ 4 คัดค้านว่า ผู้ร้องเพียงแต่มีที่ดินอยู่ด้านในของที่ดินโฉนดที่ 1454 ไม่มีทางออก ได้อาศัยผ่านที่ดินโฉนดที่ 1454 ในบางครั้งเท่านั้น ที่ดินดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งร้าง ผู้คัดค้านที่ 4 จึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2508 เป็นเวลาเกิน 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ส่วนที่ดินโฉนดที่ 1758 บิดามารดาของผู้คัดค้านที่ 4 เข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2490 บิดามารดาได้มอบที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านที่ 4 ครอบครอง ผู้คัดค้านที่ 4 ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลาเกิน 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์ ขอให้ยกคำร้องขอ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำร้องขอถอนคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดที่ 1454 เนื้อที่ 57 ไร่ 3 งาน 32 ตารางวา และโฉนดที่ 1758 เนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 คำขออื่นให้ยก
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อปี 2536 มีพระราชกฤษฎีกาให้เวนคืนที่ดินโฉนดที่ 1454 บางส่วน กรณีจึงมีเหตุรอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวเกิดขึ้น คดีนี้จึงไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ร้องอีกต่อไปขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้ร้องหมดอำนาจร้องขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1454 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ที่ให้ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น กฎหมายมีความประสงค์จะให้ใช้ในศาลชั้นต้นเท่านั้น ดังจะเห็นได้ว่าวรรคสุดท้ายของมาตรา 24 ดังกล่าวได้บัญญัติไว้ว่า คำสั่งใด ๆ ของศาลที่ได้ออกตามมาตรานี้ให้อุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227 , 228 และ 247 ดังนั้น ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ให้ยกคำร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 นำสืบรับกันและข้อที่ไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินโฉนดที่ 1454 มีชื่อนายจำรัส สาตรแสง บิดาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 กับนางชุ่ม สำราญวงศ์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2499 นายจำรัสและนางชุ่มได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2500 ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่ดินให้นายจำรัสและนางชุ่มครบถ้วน นายจำรัสและนางชุ่มจึงมอบโฉนดที่ดินและทำใบมอบอำนาจให้ผู้ร้องไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว แต่ผู้ร้องไม่ได้ไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจนปัจจุบัน นายจำรัสถึงแก่ความตายเมื่อปี 2509
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 มีว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 จนได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แล้วหรือไม่โดยผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า การที่นายจำรัสและนางชุ่มมอบโฉนดที่ดินและทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องไว้ ผู้ร้องเป็นเพียงยึดถือครอบครองโฉนดที่ดินและใบมอบอำนาจแทนนายจำรัสและนางชุ่มเท่านั้น นายจำรัสและนางชุ่มไม่ได้สละการครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 ให้ผู้ร้อง การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวจึงเป็นเพียงการใช้สิทธิครอบครองแทนนายจำรัสและนางชุ่มซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 เพื่อตน แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินดังกล่าวมาเกิน 10 ปี ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ในปัญหาดังกล่าว เห็นว่า แม้การซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 1454 นายจำรัสและนางชุ่มกับผู้ร้องจะไม่ได้ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายที่ดินดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่ผู้ร้องได้ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่นายจำรัสและนางชุ่มซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวครบถ้วนแล้วตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2500 นายจำรัสและนางชุ่มก็ได้มอบโฉนดที่ดินพร้อมกับทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ร้องไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว นอกจากนี้ในการซื้อขายที่ดินดังกล่าวนี้นายจำรัส นางชุ่ม และผู้ร้องได้ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ตามเอกสารหมาย ร. 2 ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว มีข้อความตอนหนึ่งว่า นายจำรัสกับนางชุ่มได้ลงชื่อและพิมพ์มือในใบมอบอำนาจพร้อมทั้งมอบโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ร้องเพื่อนำไปโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้ นับแต่วันทำบันทึกเป็นต้นไปโดยไม่จำกัดเวลา แสดงให้เห็นเจตนาของนายจำรัสและนางชุ่มว่าต้องการมอบอำนาจเด็ดขาดให้ผู้ร้องไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ใดและเวลาใดก็ได้สุดแล้วแต่ผู้ร้อง ทั้งไม่มีข้อจำกัดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินที่ผู้ร้องได้รับมอบอำนาจดังกล่าวนี้ ผู้ร้องจะต้องขายที่ดินดังกล่าวในราคาเท่าใด จึงสุดแล้วแต่ความพอใจของผู้ร้อง นายจำรัสและนางชุ่มจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หลังจากที่นายจำรัสและนางชุ่มมอบโฉนดที่ดินและมอบอำนาจให้ผู้ร้องแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่านายจำรัสและนางชุ่มได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดที่ 1454 อีกเลย จนกระทั่งนายจำรัสถึงแก่ความตายเมื่อปี 2509 พฤติการณ์ของนายจำรัสและนางชุ่มดังกล่าวถือได้ว่ามีเจตนาสละการครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 ให้แก่ผู้ร้อง นายจำรัสและนางชุ่มไม่มีเจตนาจะยึดถือที่ดินเพื่อตนอีกต่อไป การครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 ของนายจำรัสและนางชุ่มจึงสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2500 เป็นต้นมา การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 ต่อมาฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินดังกล่าวแทนนายจำรัสและนางชุ่ม และจากพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ยิ่งกว่าพยานหลักฐานของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ว่า ผู้ร้องได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดที่ 1454 ติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งหรือคัดค้านผู้ร้อง การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินโฉนดที่ 1454 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ 1454 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
พิพากษายืน.

Share