คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำพิพากษาคดีส่วนอาญาถึงที่สุดแล้วอ้างเหตุผลที่ยกฟ้องโจทก์ว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินที่ไม่ได้จัดสรรให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ เป็นที่ดินที่สงวนไว้สำหรับพลเมือง ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินตามฟ้องจึงยังคงเป็นที่ดิน สาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน หาใช่เป็นที่ดินที่มีเอกชน เป็นเจ้าของหรือกรมส่งเสริมสหกรณ์ผู้เสียหายมีกรรมสิทธิ์อย่างเอกชนไม่จึงลงโทษจำเลยในฐานความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และ 365 ไม่ได้ คำพิพากษาคดี ส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าวไม่มีประเด็นโดยตรงว่า การกัน ที่ดินพิพาทและขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อันเป็นประเด็นในคดีนี้ ดังนั้น ในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง จำเลยจึงมีสิทธินำพยานหลักฐาน เข้าสืบตามประเด็นดังกล่าวได้ และการพิจารณาคดีนี้ศาลไม่จำต้อง ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพร้อมบริวารได้บุกรุกเข้าไปในเขตที่ดินบางส่วนของนิคมสหกรณ์พนา ซึ่งโจทก์และสมาชิกนิคมสหกรณ์อำเภอพนาได้ร่วมกันกันไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน และโจทก์ได้ขึ้นทะเบียนคุมที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามและสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ให้ปรับสภาพที่ดินของโจทก์อยู่ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของผู้ครอบครองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2498 โดยสงบ เปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของได้แจ้งการครอบครองและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตั้งแต่พ.ศ. 2503 ที่ดินของจำเลยจึงมิใช่ที่ว่าง ไม่ใช่ที่สาธารณะหากโจทก์ได้ขึ้นทะเบียนคุมที่ดินทั้งสองแปลงให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ก็ขึ้นโดยมิชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อไป จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามและสิ่งปลูกสร้างทุกชนิดออกไปจากที่ดินแปลงที่ 35และ 36 หมู่ที่ 14 (เดิมหมู่ที่ 17) ตำบลนาหว้า อำเภอพนาจังหวัดอุบลราชธานี ในแนวเขตที่ดินตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสหกรณ์ในท้องที่อำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานีพ.ศ. 2519 ให้จำเลยปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยในคดีนี้เคยถูกพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดอำนาจเจริญฟ้องในข้อหาบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีนี้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 112/2535 ของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปนั้นถูกต้องหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงที่ 35 และแปลงที่ 36 เนื้อที่รวม 25 ไร่ 1 งาน85 ตารางวา ซึ่งอยู่ภายในเขตที่ดินบางส่วนของนิคมสหกรณ์อำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินทั้งสองแปลงที่จำเลยบุกรุกดังกล่าว โจทก์และสมาชิกนิคมสหกรณ์อำเภอพนาได้ร่วมกันกันไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน กล่าวคือใช้เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน นอกจากนี้ยังสงวนไว้เพื่อสร้างศาลากลางบ้านไว้ทำกิจการทางสงฆ์ กันไว้เป็นสนามเด็กเล่น และโจทก์ได้ขึ้นทะเบียนคุมที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2498 และทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยเมื่อ พ.ศ. 2503 ก่อนที่พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 และพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสหกรณ์ในท้องที่อำเภอพนา จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2519มีผลใช้บังคับ นายณรงค์ วิเศษวงศ์ ตัวแทนโจทก์ได้ทำแผนผังที่ดินสาธารณประโยชน์เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 โดยพลการและเพิ่งดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2535 เพื่ออ้างความชอบธรรมของตนซึ่งย่อมไม่มีผลย้อนหลังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยแต่อย่างใดหากตัวแทนโจทก์ได้ขึ้นทะเบียนคุมที่ดินทั้งสองแปลงให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ก็ขึ้นทะเบียนโดยมิชอบ จึงมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้คือการกันที่ดินพิพาทและขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แต่ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 112/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาถึงที่สุดแล้วอ้างเหตุผลที่ยกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้นในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 และ 365 ว่า “จากคำเบิกความของนายณรงค์ วิเศษวงศ์ ว่าที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินที่ไม่ได้จัดสรรให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ เป็นที่ดินที่สงวนไว้สำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันที่ดินตามฟ้องจึงยังคงเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน หาใช่เป็นที่ดินที่มีเอกชนเป็นเจ้าของหรือกรมส่งเสริมสหกรณ์ผู้เสียหายมีกรรมสิทธิ์อย่างเอกชนไม่จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่ได้” คำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดดังกล่าวไม่มีประเด็นโดยตรงว่า การกันที่ดินพิพาทและขึ้นทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น ในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งจำเลยจึงมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบตามประเด็นดังกล่าวได้และการพิจารณาคดีนี้ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงมิชอบ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยในประเด็นอื่นต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share