แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 137, 326, และ 328 อันเป็นคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แม้โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดก็ต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำโดยขาดเจตนา มีผลให้จำเลยไม่ต้องรับผิดในทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 ดังนั้นการวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าการกระทำของโจทก์จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 หรือไม่ จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ
ในการไต่สวนมูลฟ้งแม้จะได้ความว่าจำเลยได้กระทำการตามฟ้องแต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยขาดเจตนาหรือมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิด ศาลก็ชอบที่จะทำการวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลยไม่จำเป็นต้องประทับฟ้องไว้แล้วไปพิพากษายกฟ้องในภายหลัง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๑๓๗, ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓, ๙๑ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๑ ข้อ ๓ ข้อ ๗ และข้อ ๘ พ.ศ.๒๕๑๙
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการที่โจทก์ไปร่วมบำเพ็ญกุศลศพแล้วพูดชี้แจงต่อชาวบ้านที่มาร้องเรียนหรือร้องทุกข์นั้นโจทก์ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖ นั้น เห็นว่าคดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖, ๑๓๗, ๓๒๖, ๓๒๘, ๘๓ และ ๙๑ อันเป็นคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี แม้โจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด ก็จะต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.๒๕๒๐ คดีนี้จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้กล่าวถ้อยคำในทำนองต่อว่าเจ้าพนักงานตำรวจจริง หรือมิฉะนั้นก็เป็นถ้อยคำที่ทำให้จำเลยที่ ๑ เข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ได้กล่าวเช่นนั้น เท่ากับเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำโดยขาดเจตนา จึงมีผลทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดในทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ ดังนั้นการวินิจฉัยปัญหาที่ว่าการกระทำของโจทก์จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖ หรือจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางไต่สวนมูลฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันทำหนังสือซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จ ร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้ประทับฟ้องของโจทก์ มิใช่วินิจฉัยไปเลยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดเป็นทำนองว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ในการไต่สวนนั้นแม้จะได้ความว่าจำเลยได้กระทำการตามฟ้องแต่เมื่อศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยขาดเจตนาหรือมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิด ศาลก็ชอบที่จะทำการวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย ไม่จำเป็นจะต้องประทับฟ้องไว้แล้วไปพิพากษายกฟ้องในภายหลัง การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ฎีกาข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด ศาลอุทธรณ์จะยกพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ ขึ้นอ้างว่าคดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงจึงเป็นการไม่ชอบนั้นเห็นว่า ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.๒๕๒๐ เพราะฉะนั้นเมื่อคดีของโจทก์เป็นคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี จึงต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาตามบทบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับดังที่ศาลฎีกาได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้ในตอนต้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน