คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียอนุญาตให้ชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ทั้งได้จัดลำดับชั้นของภริยาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยาออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันได้แก่เมียกลางเมือง เมียกลางนอกหรืออนุภรรยา และเมียกลางทาษีหรือทาษภรรยา สำหรับเมียกลางเมืองนั้นหมายถึง หญิงอันบิดามารดากุมมือยกให้เป็นภริยาของชายซึ่งถือเป็นภริยาหลวงส่วนภริยาอีก 2 ประเภท ก็มีฐานะลดหลั่นกันลงมาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยาหรือตามลักษณะที่ชายเลี้ยงดูเชิดชูหญิงว่าเป็นภริยา แต่ไม่ว่าจะเป็นภริยาในลำดับชั้นใดก็ตาม ต่างก็ถือว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยกันทั้งสิ้นดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า บิดามารดาของโจทก์จะได้กุมมือยกโจทก์ให้เป็นภริยาของผู้ตาย ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ผู้ตายกับโจทก์ได้อยู่กินกันฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี 2464ก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มีผลบังคับใช้และมีบุตรด้วยกันถึง 6 คน และตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มาตรา 5 บัญญัติว่า บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้น การสมรส ฯลฯที่ได้มีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัตินี้ เมื่อมีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายกับโจทก์อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยเปิดเผย เป็นที่รู้กันทั่วไปและมิได้ทิ้งร้างกันแต่อย่างใด ผู้ตายกับโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ตลอดมา ส่วนจำเลยนั้นเพิ่งอยู่กินกับผู้ตาย เมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม ใช้บังคับแล้วแม้จำเลยกับผู้ตายจะมีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่เมื่อรับฟังได้ว่าผู้ตายกับโจทก์ยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วการที่ผู้ตายได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกเช่นนี้ การสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 1452 และมาตรา 1496ที่ใช้บังคับในขณะนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางจรัสลักษณ์ กรรณเลขาเป็นผู้ฟ้องคดีแทน โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพลตำรวจจัตวามงคล จึระเศรษฐ โดยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2462 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2533 พลตำรวจจุตวามงคลถึงแก่ความตาย ต่อมาโจทก์ทราบว่าพลตำรวจจุตวามงคลได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2528 ในขณะที่พลตำรวจจัตวามงคลมีโจทก์เป็นคู่สมรสอยู่ตามสำเนาทะเบียนการสมรสท้ายฟ้องหมายเลข 4 การจดทะเบียนสมรสดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1495 ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างพลตำรวจจัตวามงคลกับจำเลยเป็นโมฆะและให้เจ้าพนักงานสำนักงานทะเบียนห้วยขวางจดทะเบียนเพิกถอนการสมรสดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ภริยาตามกฎหมายของพลตำรวจจัตวามงคลจีระเศรษฐ เพราะตามกฎหมายลักษณะผัวเมียนั้นระบุในหมวด ก. ว่าอันลักษณะเมียนั้นมีสามประการ ประการหนึ่ง หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย ได้ชื่อว่าเป็นเมียกลางเมือง ประการหนึ่งชายขอหญิงมาเลี้ยงเป็นอนุภรรยาหลั่นเมียหลวง ได้ชื่อว่าเป็นเมียกลางนอกประการหนึ่ง หญิงใดทุกข์ยากชายช่วยไถ่ถอนได้มาเห็นหมดหน้าเสี่ยงเป็นเมีย ได้ชื่อว่าเมียกลางทาษี โจทก์เป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านของพลตำรวจจัตวามงคล ไม่มีบิดามารดาไม่ได้รับการศึกษา ถึงแม้จะได้กับพลตำรวจจัตวามงคลก็ไม่ได้รับการยกย่องแต่อย่างใด จึงไม่เข้าลักษณะเมียตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย พระราชบัญญัติเลิกร้างกับโจทก์มาเป็นเวลานานแล้ว จำเลยกับพลตำรวจจัตวามงคลอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยตั้งแต่ปี 2493 และจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเมื่อวันที่ 29ตุลาคม 2528 หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารเท็จ ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างพลตำรวจจัตวามงคลจีระเศรษฐกับจำเลยเป็นโมฆะ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าพลตำรวจจัตวามงคล จีระเศรษฐ ผู้ตาย ได้โจทก์เป็นภริยาตั้งแต่ปี 2462 และมีบุตรด้วยกัน 6 คน ต่อมา ปี 2491 ผู้ตายได้จำเลยเป็นภริยาอีกคนหนึ่งและมีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2528 ผู้ตายจึงได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย วันที่ 12 มิถุนายน 2533 ผู้ตายได้ถึงแก่ความตาย ต่อมาทั้งโจทก์และจำเลยได้ไปยื่นขอรับบำเหน็จตกทอดของผู้ตาย ทางกรมบัญชีกลางจึงให้ทั้งโจทก์และจำเลยไปดำเนินคดีทางศาลว่าผู้ใดเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับพลตำรวจจัตวามงคล จีระเศรษฐ ผู้ตายนั้น โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายอยู่หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาประการแรกว่า การสมรสก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม ใช้บังคับ จะชอบด้วยกฎหมายนั้นต้องให้บิดามารดาทั้งสองฝ่ายรับทราบโดยกุมมือยกฝ่ายหญิงให้แก่ฝ่ายชาย แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีการกระทำดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับโจทก์จึงถือว่าผู้ตายและโจทก์ไม่ได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมายลักษณะผัวเมียนั้น เห็นว่า ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียอนุญาตให้ชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ทั้งได้จัดลำดับชั้นของภริยาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยาออกเป็น 3 ประเภทด้วยได้ ได้แก่ เมียกลางเมือง เมียกลางนอกหรืออนุภรรยาและเมียกลางทาษีหรือทาษภรรยา สำหรับเมียกลางเมืองนั้นหมายถึง หญิงอันบิดามารดากุมมือยกให้เป็นภริยาของชายซึ่งถือเป็นภริยาหลวง ส่วนภริยาอีก 2 ประเภทก็มีฐานะลดหลั่นกันลงมาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยา หรือตามลักษณะที่ชายเลี้ยงดูชูเชิดหญิงว่าเป็นภริยา แต่ไม่ว่าจะเป็นภริยาในลำดับชั้นใดก็ตามต่างก็ถือว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยกันทั้งสิ้นดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า บิดามารดาของโจทก์จะได้กุมมือยกโจทก์ให้เป็นภริยาของผู้ตาย ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายด้วยเหตุดังที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ที่จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า ผู้ตายได้ทิ้งร้างโจทก์มาอยู่กับจำเลยเป็นเวลา 40 ปีเศษแล้ว จึงทำให้การเป็นสามีภริยาระหว่างผู้ตายกับโจทก์ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับสิ้นสุดลง โดยไม่ต้องจดทะเบียนการหย่าอีก ผู้ตายกับโจทก์จึงมิได้เป็นสามีภริยากันในขณะที่ผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้น เห็นว่า ผู้ตายกับโจทก์ได้อยู่กินกันฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี 2462 ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิมมีผลบังคับใช้ และมีบุตรด้วยกันถึง 6 คน ซึ่งคนที่ 1แบะที่ 2 ถึงแก่ความตายแล้ว คนที่ 3 อายุ 63 ปี คนที่ 4 อายุ 59 ปีคนที่ 5 อายุ 54 ปี และคนที่ 6 อายุ 50 ปี และตามพระราชบัญญัติใช้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 5 บัญญัติไว้ว่าบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้นการสมรส ฯลฯ ที่ได้มีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัตินี้ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.4 ที่ผู้ตายทำขึ้นเพื่อยกที่ดินให้แก่บุตรเมื่อปี 2495 มีข้อความระบุว่า โจทก์เป็นภริยาผู้ตายตามหนังสือให้ความยินยอมเอกสารหมาย จ.5 ที่ผู้ตายทำขึ้นเมื่อปี 2506 เพื่อให้โจทก์ทำนิติกรรมจำนองกับบุคคลอื่นก็ระบุว่าโจทก์เป็นภริยาและหนังสืออนุสรณ์ในงานณาปนกิจศพของนางชุ่มโพธิประดิษฐ ซึ่งเป็นพี่ของผู้ตายเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2513ได้มีการลำดับญาติในตระกูลเดียวกันระบุว่าโจทก์เป็นภริยาผู้ตายนอกจากนี้ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งผู้ตายมีชื่อเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็มีชื่อโจทก์อยู่ในลำดับ 2 โดยมีฐานะเป็นภริยาหัวหน้าครอบครัว ทั้งปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.8ถึง จ.12 ประกอบคำเบิกความของนายสมควร จีระเศรษฐ บุตรโจทก์กับผู้ตายว่า เป็นภาพถ่ายของโจทก์กับผู้ตายนั่งคู่กันให้บุตรหลานรดน้ำเนื่องในวันเกิดของผู้ตาย โดยถ่ายหลังจากปี 2528 แสดงว่าผู้ตายกับโจทก์อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยเปิดเผย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปและมิได้ทิ้งร้างกันแต่อย่างใด ผู้ตายกับโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ตลอดมา ส่วนจำเลยนั้นเพิ่งอยู่กินกับผู้ตายเมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม ใช้บังคับแล้ว แม้จำเลยกับผู้ตายจะมีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่เมื่อรับฟังได้ว่าผู้ตายกับโจทก์ยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว การที่ผู้ตายได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกเช่นนี้ การสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 1452 และ มาตรา 1496ที่ใช้บังคับในขณะนั้น
พิพากษายืน

Share