คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว อ้างเหตุว่าเพิ่งมาฟังคำพิพากษาเนื่องจากจำวันผิดพลาด โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 13 กรกฎาคม 2533แต่โจทก์เข้าใจว่าเป็นวันที่ 13 สิงหาคม 2533 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการยื่นอุทธรณ์และทนายโจทก์ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เหตุที่โจทก์อ้างดังกล่าวไม่เป็นเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 เพราะทนายโจทก์ได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายไปตรวจดูวันฟังคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นสั่งเลื่อนไปเป็นวันที่ 13กรกฎาคม 2533 และแจ้งให้ทนายโจทก์ทราบแล้ว ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนับแต่วันอ่าน โจทก์มีเวลาพอที่จะทำอุทธรณ์ยื่นต่อศาลได้ทันตามกำหนดเวลา แม้ทนายโจทก์ป่วยก็สามารถแต่งตั้งทนายความคนใหม่เรียงอุทธรณ์ให้ แต่โจทก์ละเลยเสียปล่อยให้เวลาผ่านไปจนสิ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ โจทก์จึงอ้างเหตุสุดวิสัยเพื่อขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อ้างว่าโจทก์เพิ่งมาทราบคำพิพากษาในวันสุดท้ายของกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ทนายโจทก์ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ให้โจทก์มาศาล จึงได้ทราบว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม 2533 กรณีมีเหตุสุดวิสัยโจทก์ไม่เจตนาละทิ้งคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าเหตุที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้โจทก์ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 6 กรกฎาคม 2533 ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายไปฟังคำพิพากษาแทนแต่ศาลชั้นต้นเลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 13 กรกฎาคม2533 โดยเสมียนทนายได้ลงชื่อรับทราบไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว ครั้นวันนัด ทนายจำเลยทั้งสามไปศาล โจทก์ไม่ไป ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง และให้ถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาโดยชอบแล้ว คำร้องขอขยายระยะเวลาของโจทก์อ้างว่าโจทก์ไปศาลวันที่ 13สิงหาคม 2533 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โจทก์จะยื่นอุทธรณ์ได้ จึงได้ทราบว่าศาลอ่านคำพิพากษาไปแล้ว และในวันดังกล่าวทนายโจทก์ป่วยกระทันหันเป็นโรคหืดหอบหายใจไม่ออก ไม่ได้สติต้องเข้าโรงพยาบาลไม่สามารถนำอุทธรณ์ยื่นได้ทัน และยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อมาอันเป็นเหตุสุดวิสัย ที่ไม่อาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาได้ก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากผู้รับมอบฉันทะทนายโจทก์จะได้ลงลายมือชื่อทราบวันฟังคำพิพากษา ซึ่งถือว่าโจทก์ทราบแล้ว แต่เป็นความผิดของทนายโจทก์เองที่ไม่เชื่อตามที่เสมียนทนายจดไว้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลจะได้ลงวันนัดความของศาลจากวันที่ 13กรกฎาคม 2533 คลาดเคลื่อนเป็นวันที่ 13 สิงหาคม 2533 ทำให้ทนายโจทก์เข้าใจวันนัดผิดดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ก็หามีผลตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงมีเวลาพอที่จะทำอุทธรณ์ยื่นต่อศาลได้ทันตามกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แม้ทนายโจทก์ป่วยก็น่าจะแต่งตั้งทนายความคนใหม่เรียงอุทธรณ์ให้ แต่โจทก์ก็ละเลยเสียปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปจนสิ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้ว กลับมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก ไม่เป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ไม่มีเหตุที่จะขยายเวลาอุทธรณ์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share