แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองใช้เงินตามเช็คที่สั่งจ่ายให้แก่โจทก์ โดยระบุรายละเอียดของเช็คพิพาท และแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทมาท้ายฟ้อง พร้อมทั้งคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้ว ส่วนมูลหนี้ตามเช็คพิพาทจะเป็นการชำระหนี้อะไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
เมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าก่อสร้าง จำเลยทั้งสองให้การรับว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่โจทก์จริง แต่อ้างว่าเป็นการออกเช็คเพื่อให้โจทก์นำไปเป็นหลักประกันค่ายืมวัสดุก่อสร้าง ทั้งจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ค่าก่อสร้างแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองปฏิเสธว่าเช็คพิพาททั้งหกฉบับไม่มีมูลหนี้ จำเลยทั้งสองจึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ตามข้อกล่าวอ้างของตน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 มกราคม 2552) ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ด้วยในจำนวน 500,000 บาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติได้ว่า จำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคาร โดยจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่สอด 6 ฉบับ เป็นเงินรวม 900,000 บาท โดยเช็คฉบับที่สี่ถึงที่หก มีจำนวนเงินรวม 500,000 บาท มีจำเลยที่ 2 ร่วมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมอบให้โจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คทั้งหกฉบับไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ใช้เงินตามเช็คที่สั่งจ่ายและมอบให้แก่โจทก์หรือชำระค่าจ้างก่อสร้างอาคาร โดยระบุรายละเอียดของเช็คพิพาทและแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทมาท้ายคำฟ้อง พร้อมทั้งคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ครบถ้วนแล้ว ส่วนมูลหนี้ตามเช็คพิพาทจะเป็นการชำระหนี้อะไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการต่อมาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อตามฟ้องโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าก่อสร้าง จำเลยทั้งสองให้การรับว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่โจทก์จริง แต่อ้างว่าเป็นการออกเช็คเพื่อให้โจทก์นำไปเป็นหลักประกันค่ายืมวัสดุก่อสร้าง ทั้งจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ค่าก่อสร้างให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองปฏิเสธว่าเช็คพิพาททั้งหกฉบับไม่มีมูลหนี้ จำเลยทั้งสองจึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ตามข้อกล่าวอ้างของตน ในข้อนี้จำเลยทั้งสองนำสืบว่า การที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งหกฉบับ สืบเนื่องจากการขออนุมัติเงินกู้ของธนาคารแต่ละครั้ง ธนาคารจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ แต่ในขณะที่ออกเช็คนั้น ยังไม่มีผลงานที่ธนาคารจะปล่อยเงินกู้ให้แก่จำเลยทั้งสอง เนื่องจากไม่อยากให้งานสะดุด จึงได้ออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับให้แก่โจทก์เพื่อนำไปเป็นประกันให้แก่เจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เมื่อจำเลยทั้งสองนำเงินไปชำระค่าก่อสร้างให้โจทก์ตามบิลเงินสด และขอรับเช็คคืน โจทก์อ้างว่ายังอยู่ที่ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง จึงยังไม่คืนเช็ค เมื่อพิเคราะห์รายการชำระเงินตามบิลเงินสดรวมเป็นเงิน 2,340,000 บาท ซึ่งมียอดเงินสูงกว่าหนังสือสัญญาจ้างเหมา ซึ่งจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นสัญญาที่เสนอธนาคารเพื่อขออนุมัติเงินกู้เกือบหนึ่งล้านบาท โดยไม่ปรากฏว่ามีหนี้ค่าก่อสร้างจำนวนอื่นยังคงค้างชำระอยู่ ทั้งข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบยังเจือสมกับคำเบิกความของโจทก์ที่ว่า โจทก์และภริยาโจทก์เป็นผู้ไปรับเงินค่าก่อสร้างจากจำเลยทั้งสอง โดยส่วนใหญ่จะชำระเป็นเงินสดตามบิลเงินสดจำนวน 13 ฉบับ และขณะที่โจทก์รับชำระเงินค่าก่อสร้างจากจำเลยทั้งสองตามบิลเงินสดรวม 3 ครั้ง โจทก์ยังไม่คืนเช็คพิพาททั้งหกฉบับให้แก่จำเลยทั้งสอง เนื่องจากจำเลยที่ 2 ยังมีหนี้ค้างชำระในส่วนอื่นอีก ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ค่าจ้างก่อสร้างให้แก่โจทก์เป็นเงินสดไปแล้วรวม 2,340,000 บาท จริง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานอื่นว่า จำเลยทั้งสองยังมีหนี้ค้างชำระตามจำนวนเงินตามเช็คพิพาททั้งหกฉบับ ทั้งโจทก์ยังเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านยอมรับว่า มิได้นำหลักฐานของหนี้ค้างชำระมาแสดงต่อศาลซึ่งเป็นพิรุธอย่างยิ่ง เนื่องจากมูลหนี้ตามเช็คย่อมเป็นหลักฐานสำคัญที่โจทก์ต้องนำสืบเพื่อสนับสนุนคำฟ้องของตน อีกทั้งเช็คทั้งหกฉบับ วันที่เช็คถึงกำหนดจ่ายเงิน ยังอยู่ในระยะเวลาใกล้เคียงกับบิลเงินสดที่จำเลยทั้งสองจ่ายค่าก่อสร้างครั้งที่ 11 ถึงที่ 13 ระหว่างวันที่ 9 มกราคม 2551 ถึง 17 ตุลาคม 2551 อีกด้วย เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่น่าจะชำระเงินค่าก่อสร้างให้โจทก์ซ้ำซ้อนกับส่วนที่จ่ายเป็นเงินสดมากถึงขนาดนั้น นอกจากนี้ เช็คเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินโจทก์มิได้นำเข้าเรียกเก็บเงินทันที โจทก์เพิ่งนำเช็ค เพื่อเรียกเก็บเงินพร้อมกัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ล่วงเลยวันที่เช็คถึงกำหนดเป็นเวลาหลายเดือนซึ่งเป็นพิรุธ แม้โจทก์จะอ้างว่าจำเลยทั้งสองขอผัดผ่อน ก็เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ อีกทั้งก่อนฟ้อง ก็หาได้มีการทวงถามจำเลยทั้งสองไม่ ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันออกเช็ค เพื่อชำระหนี้ค่าว่าจ้างก่อสร้างอาคารให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองแม้จะเป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทตามฟ้องก็ไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินให้แก่โจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนด ค่าทนายความรวม 15,000 บาท