คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เดิมขณะโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 37 ต่อมาในปี 2540 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาในปี 2545 จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 43 การติดต่อยื่นคำร้องและคำแถลงต่อศาลหลังจากนั้นจำเลยระบุภูมิลำเนาคือบ้านเลขที่ 43 ทั้งสิ้น การที่ต่อมาเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลให้ถูกต้องได้กระทำในเดือนมกราคม 2550 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเกือบ 10 ปี เจ้าพนักงานศาลน่าจะตรวจสอบที่อยู่ของจำเลยในสายงานว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยโดยปิดหมายตามภูมิลำเนาเดิมคือบ้านเลขที่ 37 ซึ่งจำเลยย้ายที่อยู่ออกไปแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งหมายโดยชอบและถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบนัดแล้ว การที่จำเลยมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และมิได้นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาลเพิ่มตามนัด จึงไม่เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 15,483,345.24 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 10,457,843.20 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 21,438 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นโดยจำเลยยอมผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนภายในวันที่สิ้นสุดของเดือนติดต่อกันเดือนละไม่น้อยกว่า 150,000 บาท เริ่มผ่อนชำระตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 และจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 18 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความหากจำเลยผิดนัดชำระหนี้เดือนหนึ่งเดือนใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองเพื่อบังคับชำระหนี้
จำเลยยื่นคำร้องว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และจำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่โจทก์ผิดข้อตกลงและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองเพื่อบังคับชำระหนี้ จึงขอให้เพิกถอนการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า จำเลยไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 200 บาท คงเสียค่าคำร้องมาเพียง 40 บาท ไม่ถูกต้องจึงมีคำสั่งว่า ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จากจำเลยให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดหากจำเลยไม่ชำระให้งดการอ่านและส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป ศาลชั้นต้นมีหมายนัดจำเลยให้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ถูกต้อง เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นจึงรวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา (ที่ถูก มีคำสั่ง) ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 2
จำเลยฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ถูกต้องแก่จำเลยโดยชอบหรือไม่ โดยจำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า จำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปยังบ้านเลขที่ 43 ถนนสุขุมวิท ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2545 จึงไม่ได้รับหมายนัดของศาลชั้นต้นดังกล่าว เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยระบุที่อยู่ของจำเลยว่า อยู่บ้านเลขที่ 37 ถนนสุขุมวิท ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นภูมิลำเนาตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามเอกสารท้ายคำแถลงที่โจทก์ขอปิดหมายในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย และดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ต้นตลอดมาจนกระทั่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540 ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 จำเลยได้ยื่นคำแถลงขอคัดถ่ายคำพิพากษา และในวันที่ 29 มีนาคม 2548 จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีโดยในคำร้องและคำแถลงดังกล่าวระบุภูมิลำเนาของจำเลยคือ บ้านเลขที่ 43 ถนนสุขุมวิท ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองซึ่งก็ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนแนบท้ายฎีกาว่า จำเลยได้ย้ายภูมิลำเนาไปยังบ้านเลขที่ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2545 นอกจากนั้นขณะที่เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ถูกต้องได้กระทำในเดือนมกราคม 2550 ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเกือบ 10 ปี เจ้าพนักงานศาลน่าจะต้องตรวจสอบที่อยู่ของจำเลยในสำนวนว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ใหม่หรือไม่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าพนักงานศาลส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยโดยปิดหมายตามภูมิลำเนาเดิมคือ บ้านเลขที่ 37 ถนนสุขุมวิท ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ซึ่งจำเลยย้ายที่อยู่ออกไปแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งหมายโดยชอบและถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบนัดแล้ว การที่จำเลยมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และมิได้นำเงินค่าขึ้นศาลอุทธรณ์มาวางศาลเพิ่มตามนัด จึงไม่เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยทิ้งอุทธรณ์และพิพากษา (ที่ถูก มีคำสั่ง) ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษา (ที่ถูก คำสั่ง) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลชั้นต้นแจ้งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลอุทธรณ์ให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฉบับลงวันที่ 22 สิงหาคม 2549 เสร็จแล้วให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อดำเนินการต่อไปตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share