คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องอ้างสิทธิของโจทก์ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็ม ชายทะเลฝั่งทิศใต้ โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้ใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ขอกรมพลาธิการทหารบก จำเลยเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองดังกล่าว ต่อมากรมพลาธิการทหารบกมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยไม่ยอมออกไปภายในกำหนดขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลย แม้จะไม่ระบุว่าที่ดินที่เช่ามีเขตติดต่ออะไร กำหนดเวลาเช่านานเท่าใด และไม่แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาท้ายฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ซึ่งแจ้งชัดอยู่แล้วเป็นฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินพิพาทแม้จะไม่มีโฉนด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของกรมชลประทานเขตคันกั้นน้ำเค็ม ชายทะเล จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 เมื่อโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทจากกรมชลประทานฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทการที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยแย่งการครอบครองจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นถือได้ว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็มชายทะเลฝั่งทิศใต้ด้านทะเล รวมเนื้อที่ 89 ไร่เศษจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์ดังกล่าว ถ้ากรมพลาธิการทหารบกต้องการที่ดินคืนเมื่อใดให้แจ้งให้จำเลยทราบก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 เดือน ต่อมากรมพลาธิการทหารบกประสงค์จะใช้ที่ดินพิพาท จึงบอกเลิกสัญญาเช่า จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนให้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องและให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้อง ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันเลิกสัญญาจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าเสียหายที่เรียกเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากบ้านพิพาท แล้วส่งมอบที่พิพาทคืนโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป และให้จำเลยชำระค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโจทก์ไม่ระบุชัดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินประเภทใด จำเลยเช่าตรงส่วนไหน ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจดอะไร ทั้งไม่ได้ระบุว่ามีกำหนดระยะเวลาเช่านานเท่าไร โจทก์ไม่ได้แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทและสำเนาสัญญาเช่าดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจคำฟ้องเป็นเหตุให้จำเลยต่อสู้คดีอย่างหลงผิด ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้กล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็มชายทะเลฝั่งทิศใต้รวมเนื้อที่ 89 ไร่ 3 งาน 1.35ตารางวา ตำบลบางปู อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการโดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้ใช้ที่ดินดังกล่าวในกิจการที่เกี่ยวกับภาระหน้าที่ของกรมพลาธิการทหารบก จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินบางส่วนซึ่งอยู่ในความครอบครองดังกล่าวของโจทก์ เนื้อที่ 50ไร่ โดยให้ค่าเช่าเป็นเงิน 4,000 บาท ต่อปี ถ้ากรมพลาธิการทหารบกต้องการที่ดินดังกล่าวคืนเมื่อใด ให้แจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้าก่อนไม่น้อยกว่า 2 เดือน ต่อมากรมพลาธิการทหารบกมีความประสงค์จะใช้ที่ดินพิพาท จึงมีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จำเลยไม่ยอมออกไปภายในกำหนด จึงขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้แสดงสิทธิของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา รวมทั้งคำขอบังคับดังกล่าวด้วย แม้โจทก์จะไม่ระบุว่าที่ดินที่เช่ามีเขตติดต่ออะไร มีกำหนดเวลาการเช่านานเท่าใดและไม่ได้แนบหลักฐานทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาทมาท้ายฟ้องก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ซึ่งแจ้งชัดอยู่แล้วเป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะรายละเอียดตามที่จำเลยฎีกาเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาคดี นอกจากนี้จำเลยให้การยอมรับแล้วว่าได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามหนังสือข้อตกลงในการใช้พื้นที่ทำวังกุ้งเอกสารหมาย จ.3 ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินไม่มีโฉนด โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่ามายังจำเลยตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2525 จำเลยยังไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่พิพาทจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 1 ปีจำเลยคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จึงต้องสันนิษฐานว่าจำเลยยึดถือเพื่อตน เป็นการแย่งการครอบครองจากโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า แม้ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีโฉนด แต่ก็ปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของกรมชลประทานเขตกั้นน้ำเค็มชายทะเล จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 เมื่อโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินพิพาทจากกรมชลประทานฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฎีกาของจำเลยดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1306
พิพากษายืน.

Share