แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยร่วมกันสั่งซื้อและเป็นหนี้ค่าน้ำมันโจทก์ การที่จำเลยคนหนึ่งนำเช็คที่จำเลยอื่นสั่งจ่ายผ่อนชำระหนี้แทนจำเลยอื่นด้วยชำระให้โจทก์นั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเป็นการรับสภาพหนี้ เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ย่อมมีผลผูกพันจำเลยอื่นด้วย เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2524 ซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามเช็คเป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 181 วรรคสอง ดังนั้นอายุความสองปี ครบในวันที่ 13พฤศจิกายน 2526 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2526คดีจึงไม่ขาดอายุความ กรณีที่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ หาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ได้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2524 และลงวันที่ 13พฤศจิกายน 2524 โดยให้จำเลยที่ 5 นำมามอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการผ่อนชำระหนี้ค่าน้ำมันแทนจำเลยอื่นด้วยย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ที่ 4 การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัย ตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเป็นการรับสภาพหนี้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2524 เพราะวันนั้นเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามเช็คได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 วรรคสอง ดังนั้นอายุความ 2 ปี ครบในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2526 โจทก์ยื่นฟ้องวันที่ 3 พฤศจิกายน 2526 คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ และศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงและคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยทั้งห้าจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่เพียงใดนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันซื้อน้ำมันจากโจทก์และค้างชำระค่าน้ำมันจริงตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3และที่ 4 มิได้ฎีกาและในคำแก้ฎีกาของจำเลยทั้งสี่มิได้โต้แย้งในประเด็นดังกล่าวประเด็นนี้จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงมีประเด็นเฉพาะตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 5 ว่า จำเลยที่ 5ไม่เคยร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยอื่นติดต่อขอซื้อน้ำมันเป็นเงินเชื่อจากโจทก์นั้น เห็นว่า นอกจากจำเลยที่ 5 ได้ติดต่อกับโจทก์เพื่อสั่งซื้อน้ำมันร่วมกับจำเลยอื่นแล้ว ยังได้ความว่า จำเลยที่ 5ได้นำเช็ค 2 ฉบับ ลงวันที่ 3 และ 13 พฤศจิกายน 2524 ไปชำระค่าน้ำมันให้โจทก์ด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงว่า จำเลยที่ 5ร่วมกับจำเลยอื่นซื้อน้ำมันจากโจทก์และค้างชำระค่าน้ำมันอยู่จริงตามที่โจทก์ฟ้อง แต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ลงเพราะจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เอาเช็คอีก 1 ฉบับ จำนวน20,000 บาท ชำระหนี้ให้โจทก์และโจทก์ได้รับเงินตามเช็คแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2524 จำเลยทั้งห้าคงค้างชำระหนี้ถึงวันฟ้อง 206,996.07 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 172,907 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จศาลฎีกาเห็นว่า เป็นคำแถลงรับของโจทก์ว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลย20,000 บาท ตามเช็คแล้ว ทำให้ยอดหนี้ลดลงไป ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้ที่ค้างชำระได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์206,996.37 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 173,907 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ