แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่ามีคำมั่นว่าก่อนครบสัญญาเช่า โจทก์และจำเลยจะปรับเปลี่ยนค่าเช่าหรือระยะเวลาเช่าในอัตราที่เป็นธรรม ดังที่ปฏิบัติมาเป็นปกติประเพณี ข้อความดังกล่าวไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับค่าเช่าหรือระยะเวลาเช่าที่แน่นอนอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาเช่า จึงยังไม่เข้าลักษณะคำมั่นจะให้เช่า ซึ่งเมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่สนองรับคำเสนอที่โจทก์แจ้งไป ถือว่าคำเสนอของโจทก์ตกไป สัญญาเช่าจึงไม่เกิดขึ้น กรณีถือได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิหน้าที่ของโจทก์ ที่โจทก์จะบังคับให้จำเลยทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ในชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคท้าย ที่บัญญัติว่า “ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งรับไว้ หรือให้ยกเสีย หรือให้คืนไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18” คำว่าให้ยกเสีย ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการยกฟ้องของโจทก์ ศาลจึงมีอำนาจยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยไม่จำต้องสั่งรับฟ้องไว้ก่อน เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสีย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยต่ออายุสัญญาเช่าหรือทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับโจทก์เป็นระยะเวลา 7 ปี อัตราค่าเช่าที่เป็นธรรมตามข้อตกลงเดือนละ 49,300 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 จนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญาเช่าฉบับใหม่ หากจำเลยต่อสัญญาเช่าไม่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายอันศาลชั้นต้นต้องรับไว้พิจารณาหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์จากจำเลย ต่อมาเมื่อจำเลยแจ้งข้อกำหนดในสัญญาเกี่ยวกับเงื่อนไขการปรับเปลี่ยนค่าเช่าใหม่ให้แก่ผู้เช่า โจทก์จำยอมมีหนังสือถึงจำเลยเพื่อขยายอายุสัญญาเช่าใหม่ โดยมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแสดงเจตจำนงในการต่อสัญญาขยายระยะเวลาเช่ากับจำเลย โดยกำหนดระยะเวลาการเช่าอีก 5 ปีนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไปในอัตราค่าเช่าใหม่ที่เป็นธรรม โดยปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 40 ของค่าเช่าเดิม รวมเป็นค่าเช่าเดือนละ 49,300 บาท โดยขอให้จำเลยต่อสัญญาเช่าฉบับใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าว จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว แต่เพิกเฉย เห็นว่า โจทก์อ้างว่าสัญญาเช่ามีคำมั่นว่าก่อนครบสัญญาเช่า โจทก์และจำเลยจะปรับเปลี่ยนค่าเช่าหรือระยะเวลาเช่าในอัตราที่เป็นธรรมดังที่ปฏิบัติมาเป็นปกติประเพณี ข้อความดังกล่าวไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับค่าเช่าหรือระยะเวลาเช่าที่แน่นอน อันเป็นสาระสำคัญของสัญญาเช่า จึงยังไม่เข้าลักษณะคำมั่นจะให้เช่า ซึ่งเมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่สนองรับคำเสนอที่โจทก์แจ้งไป ถือว่าคำเสนอของโจทก์ตกไป สัญญาเช่าจึงไม่เกิดขึ้น กรณีถือได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิหน้าที่ของโจทก์ที่โจทก์จะบังคับให้จำเลยทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
ในชั้นตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคท้าย ที่บัญญัติว่า “ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งรับไว้ หรือให้ยกเสีย หรือให้คืนไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 ” คำว่า ให้ยกเสีย ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการยกฟ้องของโจทก์ ศาลจึงมีอำนาจยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยไม่จำต้องสั่งรับฟ้องไว้ก่อน เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชอบที่จะยกฟ้องโจทก์เสีย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ