คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีในส่วนแพ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้กระทำความผิด ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ต้องรับฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ยกคำขอดังกล่าว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายนิรันดร์ สุโสะ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นส่วนข้อหาพาอาวุธโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหายจึงไม่อนุญาต และขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล 50,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ 500,000 บาท และค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันกระทำผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การขอให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วม
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ให้การในส่วนคดีแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371, 83 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 10 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรปรับคนละ 100 บาท รวมจำคุกคนละ 10 ปี และปรับคนละ 100 บาท (ที่ถูกต้องระบุว่า หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ด้วย) ริบขวดเบียร์กับเศษขวดเบียร์ของกลาง ปลอกมีดหรือเหล็กขูดชาฟท์ (ที่ถูก เฉพาะปลอกอาวุธมีด) ของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้กระทำผิดโดยตรงจึงไม่ริบ และให้คืนแก่เจ้าของ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 140,000 บาท แก่โจทก์ร่วม พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุดังฟ้อง โจทก์ร่วมกับพวกหลายคนและจำเลยที่ 1 กับพวกอีกหลายคนได้ไปดูการแข่งเรือที่บริเวณคลองบ้านท่าตากแดดโดยจำเลยที่ 1 พาอาวุธมีดติดตัวไปด้วยแล้วจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันใช้ขวดเบียร์ตีและใช้อาวุธมีดแทงโดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสตามรายงานผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์ พนักงานสอบสวนยึดปลอกอาวุธเหล็กขูดชาฟท์ ขวดเบียร์ เศษขวดเบียร์และรองเท้าแตะฟองน้ำสีส้มในที่เกิดเหตุเป็นของกลางตามบัญชีของกลางคดีอาญา สำหรับความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดค่ารักษาพยาบาลและค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้เนื่องจากไม่สามารถประกอบการงานของโจทก์ร่วมจำนวน 40,000 บาท และจำนวน 100,000 บาท ตามลำดับนั้น เป็นการกำหนดค่าเสียหายที่สูงเกินความเป็นจริง เห็นว่า สิทธิในการฎีกาในคดีส่วนแพ่งนั้นต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ร่วมเป็นเงิน 140,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ในข้อนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกามาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ในชั้นนี้มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยหรือไม่ เพื่อความสะดวกเห็นสมควรวินิจฉัยในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เสียก่อนซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วม นายอนุสรณ์ และนายจักรพันธ์ เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุนายจักรพันธ์ ซึ่งเป็นน้องของโจทก์ร่วมมีเรื่องชกต่อยกับนายอาทิตย์ (ไม่ทราบชื่อสกุล) ซึ่งเป็นน้องภริยาของจำเลยที่ 1 นายจักรพันธ์ขอให้โจทก์ร่วมช่วยเจรจาปัญหาให้ซึ่งโจทก์ร่วมได้เจรจาปรับความเข้าใจกับนายอาทิตย์ที่งานแข่งเรือ โจทก์ร่วม นายจักรพันธ์ นายวีระยุทธ นายสุชาติ นายคณิต หลังได้ไปดูการแข่งเรือ ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวก 10 กว่าคนได้มาที่งานแข่งเรือโดยจำเลยที่ 1 เข้าชกต่อยนายจักรพันธ์ นายจักรพันธ์จึงวิ่งไปหลบอยู่หลังโจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมบริเวณไหปลาร้าด้านซ้ายจำเลยที่ 3 ใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะโจทก์ร่วมแล้วจำเลยที่ 3 ได้กอดรัดตัวโจทก์ร่วมจำเลยที่ 2 ใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงโจทก์ร่วมที่หลังหลายครั้งแล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกก็พากันหลบหนีไป และโจทก์กับโจทก์ร่วมมีนายวีระยุทธ นายสุชาติ นายจักรพันธ์และนายคณิตเบิกความสนับสนุนว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ชกต่อยนายจักรพันธ์แล้วนายจักรพันธ์ได้ไปหลบอยู่หลังโจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 กับพวกก็เข้าร่วมกันทำร้ายโจทก์ร่วม และร้อยตำรวจโทโอภาศ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าได้สอบปากคำโจทก์ร่วมรวมทั้งพยานที่เกี่ยวข้อง แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลของโจทก์ร่วมให้ความเห็นว่าหากรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้และได้ให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวนด้วย ตามรายงานการตรวจพิสูจน์บาดแผลของแพทย์ บันทึกคำให้การของแพทย์ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุยังไม่ค่ำมืดสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน เหตุเกิดก็ไม่ใช่เวลาประเดี๋ยวเดียว และพยานโจทก์และโจทก์ร่วมต่างเคยเห็นหน้าจำเลยที่ 2 และที่ 3 หรือบางคนรู้จักจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาก่อน นอกจากนี้โจทก์ร่วม นายอนุสรณ์และนายจักรพันธ์ก็ให้การแต่แรกระบุว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นคนร้ายในคดีนี้ จึงเชื่อว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเห็นเหตุการณ์และจำคนร้ายได้ และจำเลยที่ 2 และที่ 3 อ้างว่าไม่ได้ร่วมทำร้ายนั้นก็ไม่มีพยานคนกลางมาเบิกความสนับสนุน พยานโจทก์และโจทก์ร่วมน่าเชื่อถือมีน้ำหนักรับฟังได้ ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความแตกต่างกันในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเห็นเหตุการณ์ตอนใดก็ให้การและเบิกความไปตามนั้นพยานโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่มีพิรุธ ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์ร่วมเบิกความในคดีนี้ว่า ไม่ได้พาอาวุธมีดติดตัวไปด้วยซึ่งขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ร่วมในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 199/2551 ของศาลจังหวัดตรังแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวว่าโจทก์ร่วมมีอาวุธมีดติดตัวไปด้วยนั้น ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 2 ว่าตอนแรกโจทก์ร่วมไม่ได้พาอาวุธมีดติดตัวไปด้วย แต่ขณะที่โจทก์ร่วมกับนายจักรพันธ์ถูกทำร้าย โจทก์ร่วมเหลือบไปเห็นอาวุธมีดที่โคนต้นมะพร้าวจึงเข้าไปหยิบอาวุธมีดดังกล่าวมาเพื่อใช้ป้องกันตัว และโจทก์ร่วมตอบโจทก์ถามติงว่าโจทก์ร่วมยังไม่ทันทำร้ายฝ่ายจำเลยกับพวกเนื่องจากฝ่ายจำเลยกับพวกเข้ามามัดมือโจทก์ร่วมไว้ก่อน คำเบิกความของโจทก์ร่วมในคดีนี้จึงไม่ขัดกับคำให้การในคดีดังกล่าว ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้นำวัตถุพยานของกลางที่ได้จากที่เกิดเหตุไปตรวจหาลายนิ้วมือแฝงทำให้พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีข้อสงสัยนั้น เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานบุคคลซึ่งนำมาสืบพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดในคดีนี้ ไม่ปรากฏข้อพิรุธในเรื่องบาดแผลและอาวุธที่ใช้ในการกระทำความผิด การที่พนักงานสอบสวนไม่ได้ส่งวัตถุของกลางไปตรวจพิสูจน์ดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อพิรุธ ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าที่เจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายดูภาพถ่ายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อนจะมีการชี้ตัวนั้นทำให้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวมีพิรุธ เห็นว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจให้โจทก์ร่วมดูภาพถ่ายของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมกันกระทำความผิดในคดีนี้หรือไม่ ถ้าหากว่าใช่ก็จะได้ติดตามหาตัวมาดำเนินการต่อไปการกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อพิรุธ ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ก็ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนด้วย ซึ่งร้อยตำรวจโทโอภาศ พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ไปแจ้งความในข้อหาถูกคนร้ายทำร้ายร่างกาย แต่ร้อยตำรวจโทโอภาศก็ไม่ได้เบิกความว่าที่มีการมาแจ้งความนั้นกล่าวหาว่าใครเป็นคนร้าย ซึ่งอาจเป็นการแจ้งความเพื่อแก้เกี้ยวก็ได้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมหรือไม่ แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะมีโจทก์ร่วมและนายจักรพันธ์เบิกความว่าจำเลยที่ 4 เข้าร่วมกระทำผิดในคดีนี้ด้วย แต่ปรากฏในคำให้การชั้นสอบสวนครั้งแรกของโจทก์ร่วม เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2551 โจทก์ร่วมไม่ได้ให้การถึงจำเลยที่ 4 เลย เพิ่งมาให้การเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2551 ว่า จำเลยที่ 4 เข้าร่วมกระทำผิดคดีนี้ด้วย ส่วนนายจักรพันธ์ก็ไม่เคยให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกระทำคดีนี้ด้วยซึ่งหากโจทก์ร่วมและนายจักรพันธ์เห็นจำเลยที่ 4 เข้าร่วมกระทำความผิดด้วยก็น่าจะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบ แต่หาได้กระทำไม่อีกทั้งพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมปากอื่นก็ไม่มีใครเบิกความหรือให้การว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมกระทำผิดคดีนี้ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมในส่วนนี้จึงทำให้ชวนสงสัยว่า จำเลยที่ 4 ได้เข้าร่วมกระทำผิดคดีนี้หรือไม่ เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 เข้าร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมและก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 กระทำผิดฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเกี่ยวพันกัน แม้ความผิดฐานนี้จะยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215 และ 225 ส่วนค่าสินไหมทดแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม แม้จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้กระทำความผิด ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ต้องรับฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม ซึ่งไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ยกคำขอดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยในส่วนจำเลยที่ 4 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และยกคำร้องของโจทก์ร่วมในส่วนของจำเลยที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share