แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยมาตรา 8 ให้ยกเลิกบทความผิดในมาตรา 26 เดิม และมาตรา 9 บัญญัติความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นมาตรา 26/3 แทน และมาตรา 17 ให้ยกเลิกบทกำหนดโทษในมาตรา 76 เดิม ให้ใช้มาตรา 76 ที่แก้ไขใหม่แทน ซึ่งความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 76 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ มีระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท เพียงสถานเดียว แตกต่างกับมาตรา 76 วรรคสองเดิม ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้นจึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นคุณมากกว่าบังคับแก่จำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76, 97, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธข้อหาร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดและร่วมกันขายคีตามีน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนด จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันขายคีตามีน จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพฐานร่วมกันมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง จำคุก 15 วัน ฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดและฐานร่วมกันขายคีตามีน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละหนึ่งในสาม ฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนด จำคุก 2 ปี 16 เดือน ฐานร่วมกันขายคีตามีน จำคุก 2 ปี 16 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 32 เดือน 15 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานร่วมกันมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 3,000 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง ปรับ 1,500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดและฐานร่วมกันขายคีตามีน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนด และฐานร่วมกันขายคีตามีนตามฟ้องด้วยหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์ว่า ผู้ที่ลักลอบขายคีตามีน คือนายมงคล มิใช่จำเลย และวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับล่อซื้อคีตามีนจากนายมงคลเพียงคนเดียว ทั้งผู้ที่นำคีตามีน 2 ขวด มาส่งมอบให้สายลับก็คือนายมงคล ข้อที่พยานโจทก์ทั้งสองปากอ้างว่า ก่อนมีการส่งมอบคีตามีน จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์มาวนดูสายลับในลักษณะดูลาดเลาด้วย ทำนองว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำกับนายมงคล นั้น ได้ความจากร้อยตำรวจโทภัตธนสันต์ เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะนั้นนายมงคลยืนอยู่ที่บริเวณปากซอยจินดาพงษ์ ห่างจากสายลับไม่เกิน 50 เมตร สามารถมองเห็นกันได้ เมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปที่ผู้จับกุมจัดทำขึ้น ประกอบแล้วปรากฏว่า สายลับยืนอยู่ริมถนนซอยใกล้กับจุดที่นายมงคลจอดรถรออยู่ ซึ่งถนนซอยดังกล่าวเป็นทางตรง สามารถมองเห็นกันได้ชัดเจน ดังนั้น ย่อมไม่มีความจำเป็นที่นายมงคลจะต้องให้จำเลยขับรถจักรยานยนต์มาวนดูสายลับก่อน คำเบิกความของพยานโจทก์ในส่วนนี้จึงขัดต่อเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ในการค้นตัวจำเลยก็ไม่พบหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ให้เห็นว่าร่วมขายคีตามีนกับนายมงคล สำหรับคีตามีนของกลางอีก 149 ขวด ได้ความว่า ซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านของนายมงคลอย่างมิดชิด ยากที่บุคคลภายนอกจะล่วงรู้ได้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยมีบ้านพักอาศัยอยู่ที่อื่น โดยจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า เป็นเพื่อนกับนายมงคล วันเกิดเหตุ จำเลยนำขนมปังที่คนรักทำขายมาส่งให้มารดานายมงคลแล้วนายมงคลให้จำเลยออกไปซื้อพืชกระท่อมเพื่อนำมาเสพด้วยกันเท่านั้น จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับคีตามีนของกลาง ส่วนนายมงคลให้การรับสารภาพว่า คีตามีนดังกล่าวเป็นของตนเพียงคนเดียว ไม่ได้พาดพิงหรือซัดทอดถึงจำเลยแต่อย่างใด โดยในชั้นสอบสวนนายมงคลให้การว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 20 นาฬิกา สายลับคดีนี้โทรศัพท์มาขอซื้อคีตามีน 2 ขวด จากนายมงคล นัดส่งมอบที่กลางซอยอ่อนนุช 30 เมื่อตกลงกันแล้ว นายมงคลขับรถจักรยานยนต์ออกไปที่จุดนัดหมาย พร้อมกับมอบคีตามีน 2 ขวด ให้แก่สายลับ และรับเงิน 2,000 บาท จากสายลับ เมื่อนายมงคลกลับไปที่บ้านพัก ก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปจับกุม และพบจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนกันอยู่ด้วย เนื่องจากก่อนหน้านั้น เมื่อเวลาประมาณ 19 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์มาพูดคุยด้วย และก่อนถูกจับกุมนายมงคลใช้ให้จำเลยไปซื้อพืชกระท่อม 2 ถุง เพื่อมาเสพด้วยกัน โดยยืนยันว่า จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคีตามีนของกลาง ยิ่งไปกว่านั้น ในชั้นพิจารณานายมงคลยังมาเบิกความเป็นพยานจำเลยโดยยืนยันว่า จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคีตามีนของกลาง ส่วนข้อที่โจทก์นำสืบว่า ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งพบในบ้านของนายมงคล มีข้อมูลการส่งข้อความให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการล่อซื้อคีตามีนในคดีนี้ เนื่องจากสายลับชำระเงินสดให้นายมงคล อีกทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า ก่อนหน้านั้นมีการโอนเงินค่าวัตถุออกฤทธิ์เข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยมาแล้วหรือไม่ พอที่จะเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ร่วมกับนายมงคลมาก่อนจึงยังไม่อาจรับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยได้ อีกทั้งจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ก่อนเกิดเหตุนายมงคลขอยืมบัตรเอทีเอ็มของจำเลยไปใช้สำหรับโอนเงินให้ญาติ เนื่องจากนายมงคลอ้างว่าไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การไว้ในทำนองเดียวกัน ข้อเท็จจริงจึงอาจเป็นดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้ก็ได้ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา โดยโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย พยานหลักฐานของโจทก์ดังที่กล่าวมาจึงยังมีความสงสัยอยู่ตามสมควรว่า จำเลยร่วมกับนายมงคลกระทำความผิดฐานมีคีตามีนไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนด และร่วมกันขายคีตามีนจริงตามฟ้องหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาดังกล่าว โดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยมาตรา 8 ให้ยกเลิกบทความผิดในมาตรา 26 เดิม และมาตรา 9 บัญญัติความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นมาตรา 26/3 แทน และมาตรา 17 ให้ยกเลิกบทกำหนดโทษในมาตรา 76 เดิม ให้ใช้มาตรา 76 ที่แก้ไขใหม่แทน ซึ่งความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 76 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท เพียงสถานเดียว แตกต่างกับมาตรา 76 วรรคสองเดิม ที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นคุณมากกว่าบังคับแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 อย่างไรก็ตาม เห็นว่าโทษปรับที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมาเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขให้เบาลงอีก
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26/3 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์