แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยได้รับโทษจำคุก 14 ปี 12 เดือน ตามคดีหมายเลขแดงของศาลอาญา ในความผิดต่อ พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร และได้พ้นโทษในเดือนสิงหาคม 2557 ก่อน โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุก ตาม ป.อ. มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 347
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 347 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติซึ่งจำเลยไม่คัดค้านว่าหลังเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุก 14 ปี 12 เดือน ตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.3137/2552 ของศาลอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร โดยพ้นโทษในเดือนสิงหาคม 2557 แล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อนและพ้นโทษไปแล้วดังกล่าว ทั้งความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ก่อนคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 347 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน แต่อัตราโทษตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษายืน