คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนในการจัดสรรที่ดินที่ถือสิทธิรวมกันแบ่งขายเอากำไรสุทธิมาแบ่งกันคนละครึ่งขอให้ศาลบังคับให้จำเลยแบ่งเงินกำไรสุทธิให้แก่โจทก์เมื่อได้ความว่าโจทก์และจำเลยเคยตกลงกันในคดีอาญาของศาลชั้นต้นว่าให้ผู้จัดการธนาคารม.เป็นผู้ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของจำนวน110แปลงจำเลยมีสิทธิขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจากผู้จัดการธนาคารเท่าที่จำเป็นตามที่ลูกค้ามาขอรับโอนสิทธิครอบครองเมื่อจำเลยได้รับเงินค่าที่ดินจากลูกค้าแล้วต้องนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารม. ต่อมาจำเลยขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากผู้จัดการธนาคารไปจำนวน66แปลงและจำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้ลูกค้าไปจำนวน36แปลงโดยจำเลยได้รับเงินจำนวน3,465,000บาทซึ่งจำเลยต้องนำเงินดังกล่าวไปเข้าบัญชีของจำเลยตามที่ตกลงไว้กับโจทก์แต่จำเลยนำเข้าบัญชีเพียงบางส่วนทั้งยังได้ถอนเงินออกไปคงเหลือเพียง9,000บาทปัจจุบันมีเงินในบัญชีเพียง3,000บาทจำเลยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขให้เป็นไปตามข้อตกลงแม้เงินดังกล่าวมิใช่เป็นเงินกำไรสุทธิที่จะนำมาแบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งแต่เมื่อโจทก์มีคำร้องขอให้นำเงินจากการขายที่ดินครึ่งหนึ่งมาวางไว้ต่อศาลในระหว่างการพิจารณามิใช่นำมาแบ่งให้แก่โจทก์แต่อย่างใดดังนี้กรณีมีเหตุที่จะนำวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณามาใช้ตามที่โจทก์ขอ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนในการจัดสรรที่ดินที่ถือสิทธิรวมกันแบ่งขายเอากำไรสุทธิมาแบ่งกันคนละครึ่ง จำเลยขายที่ดินจัดสรรมีกำไรสุทธิเป็นเงิน6,701,129.74 บาท ขอให้บังคับจำเลยแบ่งกำไรให้โจทก์กึ่งหนึ่งของเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาว่า จำเลยจัดการโอนสิทธิครอบครองที่ดินให้ลูกค้าไปแล้วจำนวน 36 แปลง ได้รับเงินมาจำนวน 3,465,000 บาท แต่จำเลยถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากไปคงเหลือค้างบัญชีเพียง 9,000 บาท หากโจทก์ชนะคดีโจทก์จะไม่สามารถบังคับจำเลยได้ ขอให้จำเลยนำเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ขายที่ดินได้มาวางต่อศาลชั้นต้น และหากจำเลยโอนขายที่ดินแปลงอื่นตามฟ้องต่อไป ให้จำเลยนำเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ขายได้มาวางไว้ต่อศาลจนกว่าจะมีคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาโดยให้จำเลยนำเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จำเลยขายที่ดินได้จำนวน 1,732,500 บาท และหากจำเลยโอนขายที่ดินแปลงอื่นให้จำเลยวางเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ขายได้ไว้ต่อศาลชั่วคราวจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นโดยให้โจทก์วางเงินประกันค่าเสียหาย 259,875 บาท ก่อนออกหมาย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยก คำร้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ว่า โจทก์และจำเลยเคยตกลงกันในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 185/2538 ของศาลชั้นต้นว่า ให้ผู้จัดการธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) สาขาพิษณุโลก เป็นผู้ยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของจำนวน110 แปลง จำเลยมีสิทธิขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจากผู้จัดการธนาคารเท่าที่จำเป็นตามที่ลูกค้ามาขอรับโอนสิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยได้รับเงินค่าที่ดินจากลูกค้าแล้วต้องนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน)สาขาพิษณุโลก ต่อมาจำเลยขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากผู้จัดการธนาคารไปจำนวน 66 แปลง และจำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้ลูกค้าไปจำนวน 36 แปลง โดยจำเลยได้รับเงินจำนวน3,465,000 บาท
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุที่จะนำวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณามาใช้หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) สาขาพิษณุโลกจำนวน 369,000 บาท ต่อมาจำเลยถอนเงินออกไป 2 ครั้งคงเหลือเงินในบัญชีเพียง 9,000 บาท เห็นว่า เมื่อจำเลยได้รับเงินจากการโอนสิทธิคอรบครองให้ลูกค้าไปจำนวน 36 แปลง จำเลยต้องนำเงินดังกล่าวไปเข้าบัญชีของจำเลยตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ แต่จำเลยนำเข้าบัญชีเพียงบางส่วนทั้งยังได้ถอนเงินออกไปคงเหลือเพียง 9,000บาท เท่านั้น จำเลยยังเบิกความตอบทนายโจทก์ด้วยว่า ปัจจุบันมีเงินในบัญชีเพียง 3,000 บาท เห็นได้ว่า จำเลยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขให้เป็นไปตามข้อตกลง แม้เงินดังกล่าวมิใช่เป็นเงินกำไรสุทธิที่จะนำมาแบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งตามที่จำเลยอ้าง แต่โจทก์ขอให้นำเงินจากการขายที่ดินครึ่งหนึ่งมาวางไว้ต่อศาลในระหว่างการพิจารณามิใช่นำมาแบ่งให้แก่โจทก์แต่อย่างใด กรณีมีเหตุที่จะนำวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณามาใช้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share