คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและประกาศข้อปฏิบัติของคนงานของบริษัทส. ซึ่งผู้ร้องรับโอนกิจการมานั้นกำหนดห้ามลูกจ้างโดยเพียงแต่ลูกจ้างทะเลาะวิวาทกันในบริเวณโรงงานหรือบริเวณที่ทำงานนายจ้างก็เลิกจ้างได้แล้วแต่ตามประกาศใหม่ของผู้ร้องฉบับลงวันที่7กุมภาพันธ์พ.ศ.2538กำหนดห้ามลูกจ้างโดยการทะเลาะวิวาทกันนั้นต้องถึงขั้นชกต่อยตบตีทำร้ายร่างกันกันนายจ้างจึงจะเลิกจ้างได้ประกาศใหม่ของผู้ร้องจึงหาได้เป็นโทษต่อลูกจ้างตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไม่เมื่อเป็นดังนี้ประกาศใหม่ของผู้ร้องฉบับลงวันที่7กุมภาพันธ์พ.ศ.2538ดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้แม้จะไม่ได้ปรึกษาหารือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก็ตามเพราะตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนดว่า”ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนี้อาจมีการแก้ไขเพื่อความเหมาะสมกับเหตุการณ์และการทำงานของบริษัทซึ่งบริษัทจะเจรจาและปรึกษาหารือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก่อนเสมอเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างบริษัทกับลูกจ้างทุกคน”นั้นหมายถึงกรณีที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปในทางเป็นโทษแก่ลูกจ้างและเมื่อศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านได้ใช้ไม้กวาดตีทำร้ายร. ซึ่งเป็นหัวหน้างานเพราะไม่พอใจการสั่งงานซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าวตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา56วรรคสองการกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าฝืนประกาศของผู้ร้องฉบับลงวันที่7กุมภาพันธ์พ.ศ.2538กรณีมีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้าน

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบอุตสาหกรรมโรงงานยางพาราและผลิตสินค้าที่ทำจากยางพารา นายผดุง บำรุงนา ผู้คัดค้าน เป็นลูกจ้างของผู้ร้องสาขาภูเก็ต ทำงานในตำแหน่งลูกจ้างทั่วไปในแผนกกรีดขี้ยางเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2535 ได้รับค่าจ้างวันละ139 บาท และเป็นกรรมการลูกจ้างในสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมยางแห่งภาคใต้ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2538 ระหว่างปฏิบัติงานผู้คัดค้านได้ใช้ไม้กวาดตีทำร้ายนายราวี หนูชู ซึ่งเป็นหัวหน้างานในโรงงานของผู้ร้อง นายราวีได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพและถูกเปรียบเทียบปรับการกระทำของผู้คัดค้านเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของผู้ร้องอย่างร้ายแรงซึ่งห้ามมิให้คนงานก่อการทะเลาะวิวาทในบริเวณโรงงาน ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหาย
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า วันเกิดเหตุผู้คัดค้านไม่มีเจตนาทำร้ายร่างกายนายราวี หนูชู โดยขณะที่ผู้คัดค้านกำลังทำความสะอาดเครื่องจักรอยู่นายราวีเรียกชื่อผู้คัดค้านผู้คัดค้านหมุนตัวกลับ ทำให้ไม้กวาดที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องจักรไปถูกนายราวี แต่นายราวีไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุที่ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพต่อเจ้าหนักงานตำรวจและถูกเปรียบเทียบปรับในข้อหาทำร้ายร่างกายนายราวี เนื่องจากนายสมชาย สกุลชิตและนายราวีบอกให้ผู้คัดค้านให้การรับสารภาพแล้วจะได้กลับไปทำงานผู้คัดค้านเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและนายราวีไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงยอมรับสารภาพ ผู้คัดค้านได้ฟ้องผู้ร้องขอให้ผู้ร้องรับผู้คัดค้านกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม ตามคดีหมายเลขดำที่ 5744/2538 ของศาลแรงงานกลาง แต่เมื่อผู้ร้องต้องการเลิกจ้างผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านก็ไม่ประสงค์จะเป็นลูกจ้างของผู้ร้องต่อไป แต่ก็ขอให้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายในการเลิกจ้างรวมเป็นเงิน 29,190 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำคัดค้านนี้จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้คำขออื่นให้ยก
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านใน ข้อ 2.2 ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รับไว้ซึ่งผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านกระทำความผิดร้ายแรงตามประกาศฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์2538 นั้น นายสมชายผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเบิกความว่า บริษัทผู้ร้องได้ยึดถือระเบียบข้อปฏิบัติในการทำงานตามสัญญาโอนสิทธิการจ้างที่รับโอนมาจากบริษัทสหยางภูเก็ต จำกัด หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวกับระเบียบการทำงาน จะต้องแก้ไขแล้วไม่เป็นโทษต่อลูกจ้าง และต้องปรึกษาตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก่อน และเบิกความรับว่า ประกาศฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 ไม่ได้ปรึกษาหาหรือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างประกาศฉบับดังกล่าวจึงเป็นประกาศที่ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาโอนสิทธิการจ้างไม่อาจมีผลใช้บังคับได้ การที่ผู้ร้องนำประกาศฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์2538 มาเป็นเหตุเลิกจ้าง จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้คัดค้าน เห็นว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและประกาศข้อปฏิบัติของคนงานของบริษัทสหยางปักษ์ใต้ จำกัด เอกสารหมาย ร.3 ซึ่งผู้ร้องรับโอนกิจการมานั้น กำหนดห้ามลูกจ้างโดยเพียงแต่ลูกจ้างทะเลาะวิวาทกันในบริเวณโรงงานหรือบริเวณที่ทำงาน นายจ้างก็เลิกจ้างได้แล้ว แต่ตามประกาศใหม่ของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 เอกสารหมาย ร.4 กำหนดห้ามลูกจ้างโดยการทะเลาะวิวาทกันนั้นต้องถึงชั้นชกต่อย ตบตีทำร้ายร่างกายกัน นายจ้างจึงจะเลิกจ้างได้ ประกาศใหม่ของผู้ร้องจึงหาเป็นโทษต่อลูกจ้างตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไม่เมื่อเป็นดังนี้ ประกาศใหม่ของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์2538 เอกสารหมาย ร.4 ดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้แม้จะไม่ได้ปรึกษาหารือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก็ตาม เพราะตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ร.3 ที่กำหนดว่า “ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนี้ อาจมีการแก้ไขเพื่อความเหมาะสมกับเหตุการณ์และการทำงานของบริษัท ซึ่งบริษัทจะเจรจาและปรึกษาหารือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก่อนเสมอ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างบริษัทกับลูกจ้างทุกคน” นั้น หมายถึงกรณีที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปในทางเป็นโทษแก่ลูกจ้าง และเมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านได้ใช้ไม่กวาดตีทำร้ายนายราวีซึ่งเป็นหัวหน้างานเพราะไม่พอใจการสั่งงานซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าวตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 56 วรรคสอง การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าฝืนประกาศของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7กุมภาพันธ์ 2538 เอกสารหมาย ร.4 ดังกล่าว กรณีมีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้าน
พิพากษายืน

Share