คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สายลับคนแรกซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว2เม็ดแต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้จับจำเลยทั้งๆที่มีพยานหลักฐานมากพอที่จะจับกุมได้แล้วการที่เจ้าพนักงานตำรวจรอจนสายลับคนที่3เข้าไปล่อซื้อจึงจับจำเลยโดยอ้างว่าเพื่อให้ได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนมากนั้นยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอให้รับฟังได้ทั้งธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็ยึดไม่ได้จากตัวจำเลยแม้จะยึดได้จากบ. ภริยาจำเลยแต่ก็ยังมีข้อโต้เถียงอยู่ว่าเจ้าพนักงานตำรวจนำมาใส่ไว้ไม่ใช่ธนบัตรของบ. พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอให้ฟังลงโทษจำเลยฐานขายเมทแอมเฟตามีนได้คงฟังลงโทษจำเลยได้ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 89, 116ริบกระดาษซองในบุหรี่ของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 62, 106จำคุก 2 ปี จำเลยนำสืบรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน คืนของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 และ 116 อีกสถานหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปีคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 4 ปี ริบกระดาษซองในบุหรี่ของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า จำเลยมีความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 หรือไม่ ข้อนี้นายดาบตำรวจประมูล อินทกนก สิบตำรวจเอกสุวัฒน์ จันทารักษ์ และนายดาบตำรวจศักดา สวัสดิ์แดง พยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อสิบตำรวจเอกสุวัฒน์หาสายลับได้ 3 คนแล้ว นายดาบตำรวจประมูลได้มอบธนบัตรส่วนตัวจำนวน 90 บาท ให้สิบตำรวจเอกสุวัฒน์ไปถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้ตามสำเนาภาพถ่ายหมาย จ.1และรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.2 นายดาบตำรวจประมูลแจ้งให้สิบตำรวจเอกสุวัฒน์ปล่อยสายลับไปซื้อเมทแอมเฟตามีนทีละคนสายลับคนแรกซื้อมาได้ 2 เม็ด ส่วนสายลับคนที่ 2 จำเลยไม่ขายให้เมื่อสายลับคนที่ 3 เข้าไปขอซื้อ จำเลยเข้าไปหาสายลับและพูดคุยกันนายดาบตำรวจประมูลและนายดาบตำรวจศักดาเห็นสายลับยื่นสิ่งของให้แก่จำเลย จำเลยเดินไปที่ประตู เปิดประตูเข้าไปในบ้านแล้วเดินออกมาหาสายลับ ขณะนั้นจำเลยกำมือข้างหนึ่งไว้พยานทั้งสามกับพวกเข้าจับกุม ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจคนหนึ่งเหยียบกิ่งไม้หักจำเลยหันมาดูพร้อมกับวิ่งหนีและเอามือข้างหนึ่งที่กำไว้ใส่ปากนายดาบตำรวจศักดาต้องบอกให้จำเลยคาย จำเลยไม่คาย ขณะรอพนักงานสอบสวน นางบ่าย บุตรศรี ภริยาจำเลยมาที่บ้านเกิดเหตุนายดาบตำรวจประมูลสังเกตบริเวณที่พับผ้าถุงมีลักษณะตุง ๆจึงให้เอาออกมาดู พอดีพนักงานสอบสวนมาถึงจึงตรวจกระเป๋า ปรากฏว่ามีธนบัตรอยู่ 400 กว่าบาท และมีธนบัตรฉบับละ 10 บาท จำนวน 3 ฉบับตรงกับธนบัตรที่ถ่ายสำเนาไว้จึงยึดไว้เป็นของกลาง นอกจากนั้นพบถุงกระดาษอยู่ในถุงพลาสติกแขวนไว้ที่เสาใกล้กับแคร่ที่จำเลยนั่งภายในถุงกระดาษมีกระดาษตะกั่วซองบุหรี่ 22 แผ่น จำเลยบอกว่าเอากระดาษดังกล่าวไว้สำหรับห่อเมทแอมเฟตามีน พนักงานสอบสวนค้นตัวและบ้านจำเลยแต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย นายดาบตำรวจประมูลได้นำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ให้จำเลยดู จำเลยบอกว่าคล้ายกับเมทแอมเฟตามีนที่ขายไปก่อนถูกจับกุมชั้นจับกุมจำเลยกับนางบ่ายให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.5ระหว่างควบคุมตัวจำเลยในชั้นสอบสวน จำเลยมีอาการปวดศีรษะพนักงานสอบสวนจึงได้ส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาล นายดาบตำรวจประมูลเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะเปรียบเทียบธนบัตรได้มีการโต้เถียงกันระหว่างนางบ่ายกับเจ้าพนักงานตำรวจว่าธนบัตรจำนวน30 บาท เจ้าพนักงานตำรวจนำมาใส่ไม่ใช่ธนบัตรของนางบ่ายร้อยตำรวจโทระบิล ชมภูน้อย พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ระหว่างควบคุมตัวจำเลยไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอหล่มเก่าจำเลยมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง เพราะกลืนเมทแอมเฟตามีนลงไป6 เม็ด จึงได้ส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลและส่งไปตรวจปัสสาวะ พบว่ามีสารเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ตกค้างอยู่ในปัสสาวะของจำเลยชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.10 และพยานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเมื่อค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายที่บ้านจำเลย พยานจึงลงมาดูที่แคร่ใต้ถุนบ้านเห็นธนบัตรหลายฉบับวางเรียงรอการตรวจสอบ จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า วันเกิดเหตุมีเด็กชายคนหนึ่งมาขายเมทแอมเฟตามีนให้ 6 เม็ด ระหว่างนั้นถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยตกใจกลัวจึงวิ่งหนีแล้วเอาเมทแอมเฟตามีนเคี้ยวและกลืนเข้าไปทั้งหมดระหว่างนั้นนางบ่ายภริยากลับจากซื้อของเจ้าพนักงานตำรวจได้ค้นธนบัตรในกระเป๋าออกมาดู เป็นธนบัตรฉบับละ 100 บาท 3 ฉบับฉบับละ 10 บาท 5 ฉบับ และฉบับละ 20 บาท 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน410 บาท เจ้าพนักงานตำรวจได้นำภาพถ่ายธนบัตรมาตรวจเปรียบเทียบกับธนบัตรดังกล่าว ปรากฏว่าไม่มีหมายเลขตรงกัน เมื่อร้อยตำรวจโทระบิลเข้ามาในบ้าน สิบตำรวจเอกสุวัฒน์จึงนำเอาธนบัตรที่ยึดจากภริยามาตรวจครั้งที่ 2 ปรากฏว่ามีธนบัตรฉบับละ10 บาท เพิ่มอีก 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 440 บาท ร้อยตำรวจโทระบิลนำภาพถ่ายธนบัตรมาตรวจเปรียบเทียบอีกครั้งปรากฏว่ามีหมายเลขตรงกับธนบัตรฉบับละ 10 บาท ที่เพิ่มขึ้นมา หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจเอาเมทแอมเฟตามีนออกจากถุงย่ามเป็นของกลาง 2 เม็ด จำเลยมีอาการเมาเพราะกินเมทแอมเฟตามีนเข้าไป 6 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจจึงนำตัวส่งโรงพยาบาล เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งหมดดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สายลับคนแรกซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว2 เม็ด แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้จับจำเลยทั้ง ๆ ที่มีพยานหลักฐานมากพอที่จะจับกุมได้แล้ว การที่เจ้าพนักงานตำรวจรอจนสายลับคนที่ 3 เข้าไปล่อซื้อ จึงจับจำเลยโดยอ้างว่าเพื่อให้ได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนมากนั้น ยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลพอให้รับฟังได้อีกประการหนึ่ง การตรวจค้นกระเป๋าสตางค์ของนางบ่ายนายดาบตำรวจประมูลเบิกความว่า ร้อยตำรวจโทระบิลเป็นผู้ตรวจกระเป๋าสตางค์ของนางบ่าย แต่ร้อยตำรวจโทระบิลกลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายที่บ้านจำเลยจึงลงมาดูที่แคร่ใต้ถุนบ้าน เห็นธนบัตรหลายฉบับวางเรียงรอไว้ให้ตรวจสอบ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวจึงแตกต่างกันทั้งนายดาบตำรวจประมูลเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่าขณะเปรียบเทียบธนบัตรได้มีการโต้เถียงกันระหว่างนางบ่ายกับเจ้าพนักงานตำรวจว่าธนบัตรจำนวน 30 บาท เจ้าพนักงานตำรวจนำมาใส่ไว้ไม่ใช่ธนบัตรของนางบ่าย พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่สอดคล้องกันแต่กลับไปเจือสมกับพยานหลักฐานของจำเลย อีกประการหนึ่ง ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็ยึดไม่ได้จากตัวจำเลย แต่ยึดได้จากนางบ่ายพยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอให้ฟังลงโทษจำเลยฐานขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ได้พยานหลักฐานของโจทก์คงฟังลงโทษจำเลยได้ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share