คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3770/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งและทางวินัยที่โจทก์ได้แต่งตั้งขึ้นมีความเห็นเสนอโจทก์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2523ว่าไม่อาจสืบหาตัวผู้กระทำความผิดได้ ควรระงับความรับผิดทางแพ่งไว้ก่อน ตามความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ได้มารู้ว่าจำเลยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อได้รับแจ้งความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดทางแพ่งซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2528 โจทก์จึงได้รู้ตัวผู้ละเมิดและจะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าเป็นจำเลยตั้งแต่วันดังกล่าวเมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 7 กรกฎาคม2529 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2522 จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดโจทก์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายควบคุมแผนปฏิบัติการภาคเหนือ ได้มาขอยืมกุญแจรถยนต์หมายเลขทะเบียน4 ม-8039 กรุงเทพมหานคร จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดโจทก์ ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ 3 และเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษากุญแจรถคันดังกล่าว เพื่อนำไปใช้นอกราชการและนอกเขตกรุงเทพมหานคร โดยมิได้ทำบันทึกการยืมรถข้ามฝ่ายและมิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แต่จำเลยที่ 2 ก็มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 1 ไปอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งที่ 37/2520 และ 439/2515 จำเลยที่ 1ได้นำไปใช้และครอบครองตลอดมาจนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2522 จำเลยที่ 1ได้ร่วมกับผู้มีชื่อครอบครองและควบคุมรถคันดังกล่าวขับไปตามถนนสายหนองฉาง-อุ้มผาง กิ่งอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานีด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถคันดังกล่าวพลิกคว่ำตกถนนได้รับความเสียหาย การที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งนำรถไปใช้ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม2528 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 60,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ทราบถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ทำละเมิดเกินหนึ่งปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก เพราะโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเกิน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 60,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1นำรถของโจทก์ไปไว้ในครอบครองและนำไปใช้นอกเขตกรุงเทพมหานครและใช้นอกราชการเป็นการปฏิบัติผิดระเบียบของโจทก์ เป็นการละเมิดและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งและทางวินัยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2522ตามเอกสารหมาย จ.15 คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นเสนอโจทก์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2523 ว่า ไม่อาจสืบหาตัวผู้กระทำผิดได้ควรระงับความรับผิดทางแพ่งไว้ก่อน และให้หารือเรื่องการซ่อมรถคันดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลัง ตามเอกสารหมาย จ.17 โจทก์ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณา กระทรวงการคลังได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดทางแพ่งซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะกรรมการมีความเห็นว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามเอกสารหมาย จ.22 กระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยจึงให้กรมบัญชีกลางมีหนังสือถึงโจทก์ให้เรียกให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินให้กับทางราชการต่อไป ตามเอกสารหมาย จ.8และโจทก์ได้ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2528 และดำเนินการให้จำเลยทั้งสองชำระเงินให้ทางราชการ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ชำระได้ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2529
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ได้ความว่าคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งและทางวินัยที่โจทก์ได้แต่งตั้งขึ้นมีความเห็นเสนอโจทก์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2523 ว่าไม่อาจสืบหาตัวผู้กระทำความผิดได้ควรระงับความรับผิดทางแพ่งไว้ก่อนตามเอกสารหมาย จ.17 ตามความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ได้มารู้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อได้รับแจ้งความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดทางแพ่งซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่19 กรกฎาคม 2528 โจทก์จึงได้รู้ตัวผู้ละเมิดและจะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าเป็นจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนวันที่ 7 กรกฎาคม 2529ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share