คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา51(2)(จ) ที่บังคับรถซึ่งอยู่ในทางร่วมทางแยกต้องให้รถที่สวนมาในทางเดินรถเดียวกันผ่านไปก่อนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เลี้ยวขวาไปได้นั้น ไม่ใช้แก่กรณีการเดินรถในถนนคนละสาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน80-0035 ชุมพร จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับรถโดยสารโชคอนันทัวร์หมายเลขทะเบียน 10-0185 นครปฐม จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์รถโดยสาร จำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 3 แสวงหาประโยชน์จากรถโดยสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 3 ได้ขับรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-0035ชุมพร ลากจูงรถโดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0185 นครปฐม ซึ่งมีจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 จะไปยังอู่ซ่อมรถยนต์ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ควบคุมรถทั้งสองคัน และไปตามถนนเศรษฐกิจ 1 เพื่อมุ่งหน้าสู่ถนนเพชรเกษมเมื่อมาถึงทางแยกเข้าสู่ถนนเพชรเกษม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ควบคุมบังคับรถทั้งสองคันดังกล่าว ด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังมิได้ให้สัญญาใด ๆ และมิได้ดูถนนให้ปลอดยานพาหนะที่ผ่านไปมาเสียก่อนที่จะเลี้ยวรถเป็นเหตุให้รถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-0089 ราชบุรีของโจทก์ ซึ่งขับมาตามถนนเพชรเกษมจะไปยังจังหวัดนครปฐม ด้วยความเร็วปกติไม่สามารถหยุดรถได้ทัน จึงชนด้านท้ายทางขวาของรถคันหมายเลขทะเบียน 10-0185นครปฐม ทำให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้กระทำละเมิด จำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างหรือผู้ว่าจ้างหรือผู้วานใช้ และจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ประกอบการขนส่งของรถโดยสารโชคอนันต์ทัวร์ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดแก่รถบรรทุกของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า เหตุที่รถชนกันในคดีนี้ไม่ได้เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขับรถเพียงแต่นั่งบังคับรถแล่นตามที่จำเลยที่ 1 ลากจูงเพราะรถคันที่จำเลยที่ 2 นั่งมาเครื่องยนต์เสีย เหตุที่รถเกิดชนกันเพราะผู้ขับรถบรรทุกของโจทก์ขับรถด้วยความประมาทใช้ความเร็วสูงจนไม่สามารถบังคับให้รถหยุดได้เมื่อต้องการหยุด ไม่ลดความเร็วเมื่อถึงทางแยกทางร่วมอันเป็นที่คับขัน และนำรถที่มีเครื่องห้ามล้อไม่ดีมาขับบนถนน
จำเลยที่ 3 ให้การว่า เหตุที่รถชนกันคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของนายชาญ เพ็งลอย คนขับรถโจทก์ที่ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่คำนึงความปลอดภัยของผู้อื่น เมื่อขับมาถึงที่เกิดเหตุอันเป็นทางร่วมทางแยกอันเป็นที่คับขัน นายชาญไม่ลดความเร็วหรือใช้ความระมัดระวัง ประกอบกับนำรถที่ห้ามล้อไม่ดีมาขับ จึงหยุดรถได้ไม่ทันท่วงทีชนกับรถของจำเลยที่ 3 เสียหาย และที่รถของจำเลยที่ 3 ถูกชนนั้น รถคันที่ลากจูงได้แล่นข้ามทางเดินรถไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วหาใช่เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1ขับรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-0035 ชุมพร ลากจูงรถโดยสารคันหมายเลขทะเบียน 10-0185 นครปฐม ถึงบริเวณสามแยกอ้อมน้อยอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร จำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังโดยดูรถที่วิ่งผ่านไปมาทางด้านซ้ายและด้านขวา เมื่อเห็นว่ารถทั้งสองข้างอยู่ในระยะห่างและปลอดภัยแล้วจึงขับรถบรรทุกคันดังกล่าวลากจูงรถโดยสารคันที่จำเลยที่ 2 นั่งบังคับออกไปเมื่อรถโดยสารคันที่จำเลยที่ 2 นั่งบังคับวิ่งถึงขอบถนนฝั่งตรงข้ามได้มีรถของโจทก์ขับมาด้วยความประมาท ใช้ความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถห้ามล้อให้หยุดได้ทันจึงเกิดชนกันขึ้นเหตุคดีนี้จึงเกิดจากความประมาทร่วมหรือความประมาทของผู้ขับรถบรรทุกของโจทก์ฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยประการแรกมีว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถโดยประมาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-0035 ชุมพร ลากจูงรถโดยสารหมายเลขทะเบียน 10-0185 นครปฐม ซึ่งจำเลยที่ 2 นั่งบังคับพวงมาลัยมาตามถนนเศรษฐกิจ 1 เมื่อถึงสามแยกอ้อมน้อย จำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาตัดเข้าถนนเพชรเกษม เมื่อรถที่จำเลยที่ 1ขับเลี้ยวข้ามพ้นเกาะกลางถนนมาแล้ว แต่รถคันที่จำเลยที่ 2 นั่งบังคับพวงมาลัยมานั้นยังอยู่ในช่องทางเดินรถอีกฝั่งหนึ่ง รถของโจทก์ ซึ่งวิ่งมาทางตรงตามช่องทางเดินรถดังกล่าวได้ชนถูกบริเวณที่นั่งคนขับของรถคันที่จำเลยที่ 2 นั่งบังคับพวงมาลัยอยู่พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า รถโจทก์เป็นฝ่ายชนรถที่จำเลยที่ 2นั่งบังคับพวงมาลัย ซึ่งถูกลากจูงโดยรถที่จำเลยที่ 1 ขับ นายชาญลูกจ้างขับรถของโจทก์เบิกความว่า เห็นรถบรรทุกน้ำมันที่จำเลยที่ 1 ขับข้ามถนนไปแล้วประมาณ 10 วา จึงเห็นรถโดยสารที่รถบรรทุกน้ำมันลากจูงมา นายชาญห้ามล้อรถ แต่ห้ามล้อไม่อยู่ แสดงว่านายชาญขับรถมาด้วยความเร็วค่อนข้างสูง ซึ่งนายชาญก็เบิกความยอมรับว่า ตนขับรถด้วยความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งในขณะที่นายชาญขับรถเข้าทางแยกทางร่วมโดยใช้อัตราความเร็วดังกล่าวนั้น ย่อมถือได้ว่านายชาญได้ขับรถมาด้วยอัตราความเร็วสูง นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าบริเวณทางแยกที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งหรือมีสิ่งใดปิดบังที่จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นรถที่ออกมาจากถนนเศรษฐกิจ 1 ดังนั้นการที่นายชาญมองไม่เห็นว่ารถบรรทุกน้ำมันลากจูงรถโดยสารมาด้วยนั้น ถือได้ว่านายชาญขับรถมาโดยมิได้มีความระมัดระวังตามสมควรอันเป็นวิสัยของผู้ขับรถ จึงมองไม่เห็นรถโดยสารที่ถูกลากจูงมา และโดยปกติธรรมดาแล้วนายชาญก็น่าที่จะแลเห็นรถบรรทุกน้ำมันได้ตั้งแต่ขับรถอยู่ในระยะห่างไกลพอที่จะหยุดรถของตนได้ทัน เพราะขณะเกิดเหตุนั้นรถบรรทุกน้ำมันที่จำเลยที่ 1 ขับได้เลี้ยวพ้นเกาะกลางถนนไปแล้ว และนายชาญควรที่จะห้ามล้อให้รถหยุดได้ทันท่วงทีรอให้รถที่จำเลยที่ 1 ขับลากจูงรถที่จำเลยที่ 2 นั่งบังคับพวงมาลัยผ่านพ้นไปเสียได้โดยไม่ยาก แต่นายชาญหาได้กระทำไม่อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 70 และ 71 ถือได้ว่านายชาญคนขับรถโจทก์ได้ขับรถโดยประมาท ส่วนจำเลยที่ 1 ได้ขับรถเลี้ยวข้ามเกาะกลางถนนมาแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถมาถึงทางแยกก่อนรถโจทก์ ดังนั้นจึงจะนำมาตรา 72(2) (ที่ถูกมาตรา 71(2)) แห่งพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับดังที่โจทก์อ้างหาได้ไม่เพราะตามบทมาตราดังกล่าวเป็นกรณีที่รถมาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน อีกประการหนึ่งที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่าฝืนมาตรา 51(2)(จ) ด้วยนั้น เห็นว่า ตามบทมาตราดังกล่าวเป็นกรณีเมื่อรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ต้องให้รถที่สวนมาในทางเดินรถเดียวกันผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เลี้ยวขวาไปได้ มิใช่กรณีการเดินรถในถนนคนละสายดังเช่นพฤติการณ์ในคดีนี้ จึงจะนำมาปรับกับคดีนี้ไม่ได้เช่นกัน คำพิพากษาฎีกาต่าง ๆ ที่โจทก์อ้างมาในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ จะนำมาเปรียบเทียบกันหาได้ไม่ และข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ร้อยตำรวจเอกธวัชชัย แสวงทรัพย์พนักงานสอบสวน เห็นว่า เหตุที่รถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 นั้นปรากฏว่าร้อยตำรวจเอกธวัชชัย เบิกความมีข้อเท็จจริงตรงกับที่ได้สรุปฟังเป็นข้อยุติไว้ตามข้างต้น ซึ่งได้วินิจฉัยมาแล้วว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนายชาญคนขับรถโจทก์ได้ขับรถโดยประมาท และร้อยตำรวจเอกธวัชชัยมิได้อธิบายเหตุผลให้เห็นว่า เหตุใดจึงเห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิด จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้เช่นนั้น เห็นว่าพยานหลักฐานต่าง ๆในคดีข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขับรถโดยประมาทสำหรับในปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 หรือไม่นั้น เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ขับรถโดยประมาทจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และย่อมเป็นผลทำให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ต้องรับต่อโจทก์เช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share