คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ประกาศ ณ วันที่ 13ธันวาคม พุทธศักราช 2515 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การเพิกถอนกับการไม่ให้สัญชาติไทยแก่บุคคลที่เกิดก่อนและหลังประกาศใช้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว เมื่อจำเลยมีบิดามารดาเป็นคนญวนอพยพและจำเลยเกิดในราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. 2499 จำเลยจึงถูกเพิกถอนสัญชาติไทยไปแล้วตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวแล้วซึ่งจำเลยจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายเสียก่อนจึงจะออกนอกเขตจังหวัดหนองคายได้ เมื่อจำเลยออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจึงย่อมมีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นคนญวนอพยพและได้รับอนุญาตให้พักอาศัยอยู่ภายในเขตจังหวัดหนองคายเป็นการชั่วคราวได้หลบหนีออกจากเขตควบคุมจังหวัดหนองคายเข้ามาในกรุงเทพมหานคร อันเป็นการขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 ลงโทษจำคุก 10 วัน และปรับ 500 บาท โทษจำคุกรอไว้1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีเพียงว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย พิเคราะห์แล้ว ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ประกาศ ณ วันที่ 13 ธันวาคมพุทธศักราช 2515 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การเพิกถอนกับการไม่ให้สัญชาติไทยแก่บุคคลที่เกิดก่อนและหลังประกาศใช้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว เมื่อจำเลยมีบิดามารดาเป็นคนญวนอพยพและจำเลยเกิดในราชอาณาจักร เมื่อ พ.ศ. 2494 จำเลยจึงถูกเพิกถอนสัญชาติไทยไปแล้วตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวแล้ว จำเลยจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายเสียก่อนจึงออกนอกเขตจังหวัดหนองคายได้ เมื่อจำเลยออกนอกเขตโดยไม่ได้รับอนุญาตดังกล่าว จำเลยจึงย่อมมีความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยมีสัญชาติไทย และการตรากฎหมายย้อนหลังกระทำไม่ได้นั้นฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share