คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3757/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโดยระบุข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินที่จะขายพอสมควรแล้ว ถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายและระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีล้มละลายหากผู้ใดสนใจจะเข้าประมูลซื้อย่อมสามารถตรวจสอบสภาพที่ดินตลอดจนหลักฐานทางราชการได้ก่อนเข้าทำการประมูล เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศการขายทอดตลาดให้ทราบล่วงหน้าทั่วกันก่อนทำการขายทอดตลาดกว่าหนึ่งเดือน การที่ผู้ร้องไม่ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานทางราชการก่อนทำการประมูลซื้อ จะอ้างภายหลังว่าเข้าใจผิดคิดว่าที่ดินที่ประมูลซื้อมาเป็นที่ดินติดต่อผืนเดียวกันเมื่อทราบภายหลังว่ามีที่ดินของบุคคลอื่นปะปนอยู่จึงมาร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขาย เช่นนี้ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้กระทำได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดิน 450 แปลงจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ในราคา 21,500,000 บาท แต่ปรากฏว่าที่ดินไม่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันโดยมีที่ดินของบุคคลอื่นปะปนอยู่ด้วยจำนวน 3 แปลง มีเนื้อที่รวมกันประมาณ 45 ไร่ เป็นแนวถนนตัดผ่านและล้อมรอบที่ดินทั้งหมดที่ผู้ร้องประมูลซื้อมา ทำให้ที่ดินที่ผู้ร้องประมูลซื้อมากลายเป็นที่ไม่สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ และรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงที่ดินได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่ทราบความข้อนี้มาก่อนจึงได้รับความเสียหายอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ระบุว่าที่ดินที่ขายทอดตลาดไม่ได้มีเนื้อที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน ถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินผิดไปจากความเป็นจริง โดยปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับสภาพและคุณสมบัติของที่ดินอันควรแจ้งให้ประชาชนทั่วไปทราบ เป็นการดำเนินการบังคับคดีที่ผิดระเบียบและฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คืนเงินมัดจำจำนวน 7,165,833 บาทแก่ผู้ร้องด้วย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ประกาศผิดไปจากความเป็นจริง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ประกาศว่าที่ดินจะขายมีเนื้อที่ดินติดต่อเป็นผืนเดียวกัน การที่มีที่ดินของบุคคลอื่นซึ่งมีสภาพเป็นแนวถนนปะปนอยู่ด้วยไม่ทำให้การประกาศขายทอดตลาดที่ดินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบเพราะในประกาศขายทอดตลาดที่ดินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่า การรอนสิทธิ ค่าภาษีอากรต่าง ๆเรื่องเขตเนื้อที่ การบอกประเภทและสภาพของทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่รับรองและไม่รับผิดชอบผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องไปตรวจสอบสภาพที่ดินด้วยตนเองก่อนที่จะเข้าประมูลซื้อหรือสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่จะขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่ผู้ร้องหาได้กระทำไม่ จึงเป็นความประมาทของผู้ร้องเอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เอกสารหมาย ค.1 ได้ระบุเลขที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ทุกแปลงรวม 450 แปลง เนื้อที่ทั้งหมดโดยประมาณ ตลอดทั้งระบุชัดว่าทิศเหนือและทิศตะวันออกติดทางสาธารณประโยชน์ ทิศใต้และทิศตะวันตกติดที่ดินนางพูนลาภ อัศวรักษ์ ทั้งได้ระบุเส้นทางที่จะไปยังที่ดินดังกล่าวโดยละเอียดกับมีคำเตือนผู้ซื้อว่า”การรอนสิทธิ ค่าภาษีอากรต่าง ๆ เรื่องเขตเนื้อที่ การบอกประเภทและสภาพของทรัพย์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่รับรองและไม่รับผิดชอบ ฯลฯ” เห็นว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโดยระบุข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินที่จะขายพอสมควรแก่กรณีแล้ว ถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายและระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีล้มละลาย ตามฎีกาของผู้ร้อง หากผู้ใดสนใจจะเข้าประมูลซื้อมีความสงสัยประการใดหรืออยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมประการใดย่อมสามารถตรวจสอบสภาพที่ดินตลอดจนหลักฐานทางราชการได้ก่อนเข้าทำการประมูล เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศการขายทอดตลาดให้ทราบล่วงหน้าทั่วกันก่อนทำการขายทอดตลาดทรัพย์กว่าหนึ่งเดือน การที่ผู้ร้องไม่ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานทางราชการก่อนทำการประมูล แล้วจะมาอ้างภายหลังว่าเข้าใจผิดคิดว่าที่ดินที่ประมูลซื้อได้มาเป็นที่ดินติดต่อผืนเดียวกัน เมื่อทราบภายหลังว่ามีที่ดินของบุคคลอื่นปะปนอยู่ แล้วจะมาขอให้ศาลเพิกถอนการขายเสียเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้กระทำได้ ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share