แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้เสียหายมอบเงินจำนวน 250,000 บาท ให้จำเลยผู้เป็นสมุห์บัญชีธนาคารและเป็นเพื่อนบ้านไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสียหายที่ธนาคารตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2536 แต่จำเลยก็ไม่นำเงินเข้าบัญชีให้ในวันนั้นหรือในวันรุ่งขึ้นแล้วผัดผ่อนเรื่อยมา ซึ่งอย่างช้าภายในเดือนสิงหาคม 2536 ผู้เสียหายก็ต้องทราบว่าจำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สามโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว ฉะนั้น การที่ ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2536 แต่ผู้เสียหายเพิ่งร้องทุกข์เมื่อวันที่6 กันยายน 2538 คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 และเมื่อคดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อม ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) พนักงาน อัยการโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 กับให้คืนหรือใช้เงินจำนวน 250,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี 6 เดือนและให้จำเลยคืนเงินจำนวน 250,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยไม่นำเงินเข้าบัญชีและจำเลยขอผัดผ่อนการนำเงินเข้าบัญชี ผู้เสียหายก็ยินยอมโดยเชื่อว่าจำเลยต้องนำเงินเข้าบัญชีให้ หรืออย่างน้อยก็ชดใช้เงินที่ได้ฝากให้ไปคืนมากรณีจึงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายยังไม่รู้เรื่องความผิด แต่เมื่อผู้เสียหายไปร้องเรียนผู้บังคับบัญชาจำเลยในวันที่ 31 สิงหาคม 2538 จำเลยกลับปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป เช่นนี้ กรณีจึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้รู้เรื่องความผิดในวันนั้น หาใช่วันที่ 4 มิถุนายน 2538 ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ เมื่อผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 6 กันยายน 2538 ตามที่ปรากฏในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.6 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความว่า วันที่ 4 สิงหาคม 2536 เวลาเที่ยงวัน ผู้เสียหายฝากเงินจำนวน 250,000 บาทให้จำเลยนำไปเข้าบัญชีให้ จำเลยรับปากตอนเย็นจำเลยกลับมาบ้านและบอกผู้เสียหายว่ายังไม่ได้นำเงินเข้าบัญชีให้ ทั้งยังไม่คืนสมุดเงินฝากให้ โดยบอกว่าจะนำเงินเข้าบัญชีให้ในวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นจำเลยก็ยังไม่ยอมนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีให้ผู้เสียหาย จำเลยผัดผ่อนมาโดยตลอดว่าจะนำเงินเข้าฝากที่ธนาคารให้ แต่ก็ไม่ยอมนำเข้าบัญชีให้เรื่อยมา เมื่อเป็นเช่นนี้ หากผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยผู้เป็นสมุห์บัญชีธนาคารและเป็นเพื่อนบ้านไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสียหายที่ธนาคารตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2536 จริง ตามคำเบิกความการที่จำเลยไม่นำเงินเข้าบัญชีให้ในวันนั้นหรือในวันรุ่งขึ้นแล้วผัดผ่อนเรื่อยมานั้น อย่างช้าภายในเดือนสิงหาคม 2536 ผู้เสียหายก็ต้องทราบว่าจำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกแล้ว ฉะนั้นการที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2536 แต่ผู้เสียหายเพิ่งร้องทุกข์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2538 คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 และเมื่อคดีขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไป”
พิพากษายืน