คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเล่นแชร์เปียหวยนั้น ผู้เล่นประมูลให้ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายก็ได้ เพราะไม่เข้าลักษณะเป็นการกู้ยืมเงิน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยสองคนร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งหมายความว่ายังไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ หากคดีได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ควรเป็นผู้รับผิดต่อโจทก์เพียงในฐานะผู้ค้ำประกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ รับเงินไปครบแล้ว ๑๔,๓๒๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินกู้ให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจริง แต่จำเลยรับเงินไปเพียง ๘,๐๐๐ บาท ส่วนอีก ๖,๓๒๐ บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ ๘,๐๐๐ บาท ในระยะเวลา ๑๖ เดือน อัตราร้อยละ ๖๗ เศษต่อปี ดอกเบี้ยจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกดอกเบี้ยจำนวนนี้จากจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้และค้ำประกันจริง และที่มาแห่งสัญญากู้ คือ การเล่นแชร์ ซึ่งเป็นวิธีการกู้กันอย่างหนึ่ง จากบุคคลหลายคนที่เป็นสมาชิก คือลูกวง แต่จำนวนเงินตามสัญญากู้ที่จำเลยทำให้ไว้กับโจทก์ต้นเงินเพียง ๘,๐๐๐ บาท ส่วนอีก ๖,๓๒๐ บาทเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดอกดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะลูกหนีและผู้ค้ำประกันขำระหนี้ ๘,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การเล่นแชร์ด้วยวิธีประมูลดอกเบี้ยกันเช่นนี้คดีนี้หาใช่เป็นการกู้เงินกันไม่ แต่เป็นข้อตกลงโดยเฉพาะในการเล่นแชร์กันเท่านั้น ฉะนั้น ข้อวินิจฉัยในกรณีดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นที่มีสาระสำคัญสำหรับคดีนี้ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้นั้นเป็นการตอบแทนกัน โดยโจทก์กับจำเลยที่ ๑ มีเจตนาว่า ถ้าโจทก์ต้องใช้หนี้แก่ผู้เล่นแชร์ตามข้อผูกพันระหว่างโจทก์กับผู้เล่นแชร์แล้ว จำเลยก็จะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ตามสัญญากู้ฉบับนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ส่งเงินตามข้อตกลงให้ผู้เล่นแชร์คนอื่น ๆ และโจทก์ต้องชำระหนี้ต่อผู้เล่นแชร์แล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดตามสัญญากู้ฉบับที่ตนแสดงเจตนาไว้ตามสัญญากู้นั้น โจทก์จึงนำสัญญากู้ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ ๑๔,๓๒๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นนายวงแชร์ แบ่งหุ้นเป็น ๒๐ หุ้น ๆ ละ ๕๐๐ บาท มีข้อตกลงว่าผู้เล่นคนใดประมูลให้ดอกเบี้ยสูงในเดือนใด ก็ได้เงินทั้งหมดที่ผู้เล่นอีก ๑๙ หุ้นลงไว้ไป ผู้เล่นคนใดประมูลได้เงินไปแล้วในเดือนต่อไปก็ต้องนำเงินค่าหุ้นและดอกเบี้ยที่ตนเสนอประมูลมาชำระแก่นายวงแชร์ เพื่อจะได้จ่ายให้แก่ผู้ที่ประมูลได้ใหม่ในเดือนต่อ ๆ ไป จนกว่าจะครบ ๒๐ หุ้น ถ้าผู้เล่นคนใดไม่ชำระเงินตามที่ตกลง นายวงแชร์จะต้องรับผิดออกเงินใช้แทนผู้เล่นคนนั้น ๆ ตลอดไป สำหรับจำเลยที่ ๑ ประมูลได้ในเดือนที่ ๔ โดยเสนอให้ดอกเบี้ย ๓๙๕ บาท ซึ่งในเดือนต่อ ๆ ไป จำเลยที่ ๑ จะต้องนำต้นเงิน ๕๐๐ บาท และดอกเบี้ยที่เสนอให้อีก ๓๙๕ บาท รวม ๘๙๕ บาท มาส่งให้แก่โจทก์อีก ๑๖ งวด รวมเป็นเงิน ๑๔,๓๒๐ บาท แต่โจทก์ไม่ไว้ใจจำเลย จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ให้ไว้ โดยให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน และปรากฏว่าเมื่อจำเลยประมูลได้รับเงินไปแล้วก็ค้างชำระไม่จ่ายเงินให้วงแชร์เดือนละ ๘๙๕ บาทตลอดมา โจทก์จึงนำสัญญากู้มาฟ้อง
ในปัญหาเรื่องการเล่นแชร์นี้ ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ไม่เข้าลักษณะเป็นการกู้ยืมเงิน ไม่เป็นการเข้าหุ้นส่วน ไม่เป็นการพนันขันต่อ พฤติการณ์ระหว่างนายวงแชร์กับลูกวงใกล้เข้าไปในลักษณะค้ำประกัน เมื่อลูกวงทำให้นายวงแชร์ต้องออกเงินแทนลูกวงไป นายวงก็ย่อมมีสิทธิฟ้องให้ลูกวงชดใช้คืนได้ (นัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๒๗/๒๕๐๐) ฉะนั้น ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่จำเลยค้างชำระอยู่ได้ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งย่อมหมายความว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ต่อโจทก์ คดีฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้มาทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ ๑ เท่านั้น จำเลยที่ ๒ หาได้ร่วมเป็นผู้กู้ด้วยไม่ ฉะนั้น จำเลยที่ ๒ ก็่ควรเป็นผู้รับผิดต่อโจทก์ในฐานผู้ค้ำประกันเท่านั้น คือ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดได้
พิพากษาแก้ว่า สำหรับจำเลยที่ ๒ นั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พร้อมด้วยค่าทนายชั้นฎีกาอีกสองร้อยบาทให้โจทก์แล้ว จึงให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย

Share