คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 799/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่จำเลยเข้าแย่งทำนาภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนนั้น เป็นการละเมิดที่เกิดขึ้นใหม่ในระหว่างที่เป็นความกัน โจทก์ไม่มีทางที่จะทราบและกล่าวเป็นข้อหาขึ้นได้ในขณะฟ้องคดีก่อนนั้น ฉะนันการที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ในการที่ จำเลยทำละเมิดระหว่างคดีก่อนนั้น จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่ถ้ามีทางที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่า เสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไป รวมไปในฟ้องโจทก์ในคดรก่อนได้อยู่แล้ว โจทก์มิได้นำเาเรียกร้อง เสีย การอ้างว่าไม่แน่ว่าจะชนะคดีหรือไม่ หาทำให้เกิดสิทธิฟ้องใหม่แต่อย่างไรไม่ ถ้าฟ้องใหม่ในกรณีหลังนี้ ยอ่ม ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ.
โจทก์เคยฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดินจากผู้มีชื่อ ในระหว่างคดีผู้มีชื่อโอนขายที่ดินนั้นแก่จำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอ เรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยด้วย ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้ส่วนแบ่งที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์กลับมาฟ้อง เรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีกในการที่จำเลยได้เข้าทำนาส่วนของโจทก์ ซึ่งโจทก์มีทางที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทน นี้ รวมไปในฟ้องในคดีก่อนได้อยู่แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม าป.ม.ว.แพ่งมาตรา 148./ เพราะ ประด็นเนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือจำเลยยึดครองทรัพย์สินของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน ๘๐๐๐ บาท โดยเหตุที่จำเลยได้ทำนาส่วนของโจทก์ ทำให้เกิดความ เสียหายขาดรายได้.
จำเลยปฏิเสธความรับผิด
ข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความแถลงรับกันว่าที่นาโฉนดที่ ๑๖๒๕ เดิมมีชื่อนายวอนนายใจ นายใจเป็นสามีโจทก์ และ เป็นบิดานางอยู่ นายใจตายมาประมาณ ๒๗ ปีแล้ว ต่อมานางอยู่ได้ไปประกาศขอรับมรดก นายใจลงชื่อนางอยู่คนเดียว โจทก์จึงฟ้องนางอยู่ขอแบ่งมรดกส่วนนางใจ ในระหว่างคดีนายอยู่โอนขายให้แก่จำเลย โจทก์ยื่นคำร้องขอเรียกจำเลย เข้ามาเป็นจำเลยในสำนวนนั้นด้วย และขอให้เพิกถอนการซื้อขายให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินเฉพาะส่วนมรดกของนายใจ ให้โจทก์ ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนคดี คดีถึงทืสุดแล้ว บัดนี้โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยเข้ามาทำนาในที่ดิน แปลงนี้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เป็นฟ้องซ้ำ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ ก็โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า จำเลยเข้าครอบครอง ถือกรรมสิทธิที่นาอันเป็นส่วนกรรมสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้ แต่คดีที่โจทก์จำเลยเป็นความกันใน คดีก่อน ข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ ก็คือจำเลยเข้าครอบครองถือกรรมสิทธิที่โจทก์มีส่วนกรรมสิทธิ อยู่เช่นเดียวกัน แม้ข้อหาาของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะเป็นเรื่องให้ศาลแสดงกรรมสิทธิและแบ่งนาให้โจทก์ และในคดี เรื่องนี้เป็นเรื่องเรียกค่าสินไหมทดแทนก็ดี ประเด็นที่จะต้องพิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือ จำเลยได้ยึด ครองทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีต้องด้วยวรรคแรกของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งมาตรา ๑๔๘ ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฎีกาที่ ๑๘๑๓/๒๔๙๓ ที่โจทก์อ้างมานั้น เป็นกรณีที่จำเลยเข้าแย่งทำนาภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนนั้นแล้ว เป็นการละเมิด ที่เกิดขึ้นใหม่ในระหว่างที่เป็นความกัน โจทก์ไม่มีทางบที่จะทราบและกล่าวเป็นข้อหาขึ้นได้ในขณะที่ฟ้องคดีก่อนนั้น
แต่สำหรับคดีนี้ โจทก์มีทางที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าเสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และจะเกิดขึ้นต่อไป รวมไป ในฟ้องโจทก์ในคดีก่อนได้อยู่แล้ว โจทก์มิได้นำพาเรียกร้องเสีย การอ้างว่าไม่แน่ว่าจะชนะคดีหรือไม่ หาทำให้เกิดสิทธิ ฟ้องใหม่อย่างไรไม่.
จึงพิพากษายืน.

Share