คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าสมคบกันทำสัญญากู้ปลอมขึ้นฟ้องร้องโดยมิได้เป็นหนี้ต่อกัน เพื่ออาศัยสิทธิตามคำพิพากษามาขอเฉลี่ยในคดีที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้น โจทก์ย่อมฟ้องได้และมิใช่เป็นเรื่องฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษา เงิน ๗๙,๑๖๕ บาท ได้ขอให้ศาลสั่งยึดที่นาของจำเลยที่ ๑ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ในระหว่างนี้เองจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ ได้สมคบกันเพื่อฉ้อโกงโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ได้แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท และได้สมคบกันทำสัญญาปลอมและนำคดีมาฟ้องต่อศาลโดยทำยอมต่อกันจนศาลหลงเชื่อ จึงพิพากษาให้เป็นไปตามสัญญายอมนั้น จึงขอให้พิพากษาเพิกถอนและพิพากษาว่าหนังสือสัญญากู้และสัญญาประนีประนอมเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิมาขอเฉลี่ย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้กันจริง แต่ได้สมยอมทำสัญญากู้ขึ้น พิพากษาว่าจำเลยที่ ๒ จะอ้างสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีกทั้งคำพิพากษามายื่นขอเฉลี่ยไม่ได้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๐ หรือไม่ เห็นว่าในกรณีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ ว่าสมคบกันทำสัญญากู้ปลอมขึ้นฟ้องร้องโดยมิได้เป็นหนี้ต่อกัน เพื่ออาศัยสิทธิตามคำพิพากษามาขอเฉลี่ยในคดีแพ่ง ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มิใช่เป็นเรื่องฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยทั้งสอง

Share