คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายกระทงหนึ่ง มีอาวุธปืนมิได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาเฉพาะในความผิดฐานฆ่าผู้ตาย ข้อหาฐานมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตจำเลยมิได้ฎีกา และแม้ข้อหานี้ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงก็ดี เมื่อได้ความจากพยานโจทก์เองว่าปืนของกลางเป็นของผู้ตายมีไว้ และข้อเท็จจริงยังเป็นที่สงสัยอยู่ว่าผู้ตายอาจใช้ปืนของกลางยิงตัวตายก็ได้ ดังนี้ศาลฎีกาก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานมีอาวุธปืนมิได้รับอนุญาตด้วยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตาย ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ จำคุก ๒๐ ปี ผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำคุก ๖ เดือน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวมเป็นจำคุก ๒๐ ปี ๖ เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานและพฤติการณ์แวดล้อมก็ไม่อาจปลงใจเชื่อได้สนิทว่าจำเลยได้ยิงผู้ตายจริงดังฟ้อง รูปคดียังเป็นที่ระแวงสงสัยอย่างมากเห็นสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยตามมาตรา ๒๒๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนข้อหาฐานมีอาวุธปืนมิได้รับอนุญาตนั้นจำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมา และแม้ข้อหานี้จะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๕ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อได้ความจากพยานโจทก์เองว่าปืนของกลางเป็นของผู้ตายมีไว้ และข้อเท็จจริงก็เป็นที่สงสัยอยู่ว่าผู้ตายอาจใช้ปืนของกลางยิงตัวเองตายก็ได้ ฉะนั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนของกลางไว้โดยไม่รับอนุญาตดังฟ้อง
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ของกลางไม่ริบ

Share