คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1716/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมมีใจความว่าจำเลยยอมชำระเงิน35,000บาทให้แก่โจทก์โดยแบ่งชำระเป็นงวดงวดแรกชำระเป็นเงิน40,000บาทภายใน5เดือนนับแต่วันทำสัญญางวดหลังชำระอีก35,000บาทภายใน4เดือนโดยนับต่อจากงวดแรกหากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดให้โจทก์บังคับคดีได้ตามฟ้องทันทีข้อความตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมมีความหมายว่าจำเลยจะต้องชำระเงิน75,000บาทให้โจทก์โดยแบ่งชำระเป็นสองงวดแต่ละงวดจะต้องชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้หากจำเลยผิดนัดชำระเงินไม่ว่าในงวดใดจำเลยจะต้องถูกบังคับให้ชำระเงินตามที่โจทก์ฟ้องจำนวน150,000บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยเมื่อจำเลยผิดนัดชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์ตั้งแต่งวดแรกโจทก์จึงมีสิทธิร้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้จำนวน150,000บาทพร้อมดอกเบี้ยแม้ต่อมาจำเลยได้นำเงินไปวางชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน78,202บาทแต่เป็นการวางชำระหนี้ยังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดียึดบ้านของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 150,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย เมื่อวันที่3 มิถุนายน 2529 จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งสิ้น 75,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็นงวดงวดแรกเป็นเงิน 40,000 บาท ภายใน 5 เดือน นับแต่วันทำสัญญางวดหลังเป็นเงิน 35,000 บาท ภายใน 4 เดือนนับต่อจากงวดแรกหากผิดนัดงวดใดให้โจทก์บังคับได้ตามฟ้องทันที ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้แล้ว เมื่อถึงกำหนดจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 74 เพื่อขายทอดตลาด
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองได้นำเงินจำนวน78,202 บาท ที่จะต้องชำระแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปวาง ณ สำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลชั้นต้น และโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์แถลงคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเงินที่จำเลยทั้งสองนำมาวางชำระหนี้ยังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษา ให้ยกคำร้อง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง โจทก์ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เพียง 75,000 บาท มิใช่ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้จำนวน 150,000 บาท นั้น เห็นว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งคู่ความทำต่อหน้าศาลชั้นต้นมีใจความว่า จำเลยทั้งสองยอมชำระเงิน 75,000 บาทให้แก่โจทก์ โดยแบ่งชำระเป็นงวด งวดแรกชำระเป็นเงิน40,000 บาทภายใน 5 เดือน นับแต่วันทำสัญญา งวดหลังชำระอีก35,000 บาท ภายใน 4 เดือน โดยนับต่อจากงวดแรก หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใด ให้โจทก์บังคับคดีได้ตามฟ้องทันที และศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีให้เสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ข้อความตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมมีความหมายว่า จำเลยทั้งสองจะต้องชำระเงิน 75,000 บาทให้โจทก์โดยแบ่งชำระเป็นสองงวดแต่ละงวดจะต้องชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หากจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระเงินไม่ว่าในงวดใดก็ตามจำเลยทั้งสองจะต้องถูกบังคับให้ชำระเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จำนวน 150,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์ตั้งแต่งวดแรก โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้จำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว ดังนั้นแม้ต่อมาจำเลยทั้งสองได้นำเงินไปวางชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน78,202 บาท แต่เป็นการวางชำระหนี้ยังไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดียึดบ้านของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ได้
พิพากษายืน

Share