แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าแผงลอยของโจทก์ประกอบการค้า และเสียเงินให้โจทก์ 2,000 บาท ขณะที่จำเลยมาเช่า โจทก์มีแผงลอยพร้อมอยู่แล้ว ไม่จำต้องก่อสร้างขึ้นอีกแต่อย่างใด ที่จำเลยเสียเงินให้โจทก์ ก็ได้รับประโยชน์โดยโจทก์เก็บค่าเช่าถูกกว่าผู้เช่าที่มิได้เสียเงิน เงินที่จำเลยเสียให้โจทก์นั้นจึงเป็นเงินประเภทเดียวกับเงินกินเปล่า อันเป็นค่าเช่าส่วนหนึ่ง. หาทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่
เจ้าอาวาสวัดโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแทนวัดโจทก์ มิใช่มอบอำนาจเป็นการส่วนตัว ดังนั้น แม้ภายหลังเจ้าอาวาสผู้มอบอำนาจจะถึงแก่มรณภาพลงก็หาทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจนั้นเสียไปไม่ จึงไม่จำต้องมีการมอบอำนาจกันใหม่อีก
ข้อฎีกาที่ว่า โจทก์ที่ 1 ตั้งตัวแทนทำสัญญากับโจทก์ที่ 2 โดยไม่มีใบมอบอำนาจเป็นหนังสือ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 130/2486)
เมื่อจำเลยหมดสิทธิที่จะเช่าและใช้ประโยชน์ในแผงลอยของโจทก์ที่ 1 ต่อไป และไม่มีนิติสัมพันธ์อย่างใดต่อกันอีก การที่โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาให้โจทก์ที่ 2 รื้อแผงลอยและสร้างอาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ จะเป็นการชอบและมีอำนาจทำได้หรือไม่เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับกรมการศาสนาและมหาเถรสมาคมที่จะว่ากล่าวกันเอง หาทำให้จำเลยมีสิทธิใช้ประโยชน์ในแผงลอยต่อไปอีกไม่ ฉะนั้น ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจทำสัญญากับโจทก์ที่ 2 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัย
ย่อยาว
คดี 7 สำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องว่าโจทก์ที่ 1 ได้ทำสัญญาให้โจทก์ที่ 2 รื้ออาคารตลาดสดแผงลอยของโจทก์ที่ 1 และก่อสร้างอาคารพาณิชย์ มอบกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ได้บอกเลิกการเช่า แต่จำเลยผู้เช่าแผงลอยไม่ยอมออกไปเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2, 3 ไม่สามารถรื้อและก่อสร้างอาคารพาณิชย์ตามสัญญาได้ ขอให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าเสียหายเดือนละ 7,500 บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2512 จนกว่าจะออกไป
จำเลยทั้ง 7 สำนวนต่อสู้ว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าแผงลอยกับโจทก์ที่ 1 สัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนด โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้โจทก์ที่ 2 ปรับปรุงตลาดสด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในแผลงลอยของโจทก์อีกต่อไป แต่ฟังไม่ได้ว่าโจทก์เสียหาย พิพากษาขับไล่จำเลย คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ที่ 3 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ที่ 1, 2 ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 3 นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้อง คำให้การ และข้อนำสืบของโจทก์จำเลยฟังได้ชัดว่า จำเลยได้เช่าแผงลอยพิพาทของโจทก์ที่ 1 ขณะที่จำเลยมาเช่าแผงลอยพิพาทนั้น โจทก์ที่ 1 มีแผงลอยพร้อมอยู่แล้ว ไม่จำต้องก่อสร้างขึ้นอีกแต่อย่างใด ที่จำเลยบางคนเสียเงินให้โจทก์ที่ 1 คนละ 2,000 บาท ก็ได้รับประโยชน์โดยโจทก์ที่ 1 เก็บค่าเช่ารายวันเพียงวันละ 1 บาท ถูกกว่าผู้เช่าที่มิได้เสียเงินเห็นได้ว่าเงิน 2,000 บาท ที่จำเลยเสียให้แก่โจทก์ที่ 1 นั้น เป็นเงินประเภทเดียวกับเงินกินเปล่าอันเป็นค่าเช่าส่วนหนึ่ง หาทำให้การเช่าระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่ เมื่อโจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของแผงลอยพิพาท และจำเลยยินยอมเช่าแผงลอยพิพาทกับโจทก์ที่ 1 ตลอดมา จำเลยผู้เช่าจึงไม่อาจอ้างได้ว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
การเช่ารายนี้มิได้กำหนดระยะเวลาเช่ากันไว้ โจทก์ที่ 1 จะบอกเลิกการเช่าเสียเมื่อใดก็ได้ และโจทก์ที่ 1 ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะประกอบการค้าอยู่ในแผงลอยพิพาทอีกต่อไป
ที่จำเลยฎีกาว่า พระธรรมคุณาภรณ์เจ้าอาวาสวัดโจทก์ที่ 1 ถึงแก่มรณภาพในระหว่างคดี แต่โจทก์ไม่มีการมอบอำนาจกันใหม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้พระธรรมคุณาภรณ์เจ้าอาวาสวัดโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้นายสำลี สังวรกิจธรรม เป็นผู้ดำเนินคดีแทนวัดโจทก์ที่ 1 มิใช่มอบอำนาจเป็นการส่วนตัว ฉะนั้น แม้ภายหลังเจ้าอาวาสผู้มอบอำนาจจะถึงแก่มรณภาพลง ก็หาทำให้ฐานะของผู้รับมอบอำนาจนั้นเสียไปไม่ จึงไม่จำต้องมีการมอบอำนาจกันใหม่อีกโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ตั้งนายแสง บำรุงไทย เป็นตัวแทนทำสัญญากับโจทก์ที่ 2 โดยไม่มีใบมอบอำนาจเป็นหนังสือ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาตั้งแต่ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 130/2486 คดีระหว่างนายโป๊ะ ปรางเลิศโจทก์ จาดมูลนิธิ จำเลย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจทำสัญญากับโจทก์ที่ 2 ให้รื้อแผงลอยและปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ เพราะโจทก์ที่ 1 มิได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาและมหาเถรสมาคมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยหมดสิทธิที่จะเช่าและใช้ประโยชน์ในแผงลอยพิพาทของโจทก์ที่ 1 ต่อไปแล้ว ไม่มีนิติสัมพันธ์อย่างใดต่อกันอีก การที่โจทก์ที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์ที่ 2 ให้รื้อแผงลอยและสร้างอาคารพาณิชย์ขึ้นใหม่ จะเป็นการชอบหรือมีอำนาจทำได้หรือไม่ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับกรมการศาสนาและมหาเถรสมาคมที่จะว่ากล่าวกันเองหาทำให้จำเลยมีสิทธิใช้ประโยชน์ในแผงลอยพิพาทต่อไปอีกไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีที่ควรได้รับการวินิจฉัย
พิพากษายืน