คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์ จำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของจำเลยซึ่งซื้อไว้จากจำเลยร่วมโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย จำเลยมิได้กล่าวในคำให้การว่าได้ปลูกสร้างเรือนในที่พิพาทโดยสุจริต ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงไว้เพียงว่า จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารอยู่ในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ คดีจึงไม่มีข้อให้วินิจฉัยเลยไปถึงว่า ถ้าอาคารของจำเลยที่ปลูกสร้างไว้ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยกระทำโดยสุจริตหรือไม่
ศาลชั้นต้นมีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามคำขอของจำเลยแต่จำเลยร่วมไม่ยอมเข้ามาในคดีจนศาลชั้นต้นมีคำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อศาลชั้นต้นทำการสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่าพอจะวินิจฉัยคดีได้ ศาลชั้นต้นก็ไม่จำต้องทำการสืบพยานต่อไป และไม่จำต้องเรียกจำเลยร่วมมาสอบถาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 39378 โดยรับซื้อฝากมาจาก ส. แล้วตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารอยู่ในที่ดินแปลงนี้ โจทก์แจ้งให้รื้อถอนออกไป จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและชดใช้ค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การเป็นทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ แต่ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนด เลขที่ 39379 และ 39377 ตามลำดับซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยซื้อมาจาก ส. โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และครอบครองตลอดมา

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียก ส.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตและหมายเรียกให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้ว แต่จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ก่อนสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองรับว่าได้ปลูกสร้างเรือนลงในที่ดินของโจทก์ แต่ขณะที่ปลูกนั้นเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นการปลูกลงในที่ดินของตนที่ซื้อจาก ส. จำเลยร่วม เพิ่งจะมาทราบว่าปลูกลงในเขตที่ดินของโจทก์เมื่อทำแผนที่พิพาทคดีนี้ โจทก์แถลงรับว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสองแถลง และโจทก์จำเลยรับกันในจำนวนค่าเสียหายของโจทก์

ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยแถลงพอวินิจฉัยคดีได้ จึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วฟังว่า บ้านของจำเลยทั้งสองตามฟ้องปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานโดยไม่รอผลการรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินในการทำแผนที่พิพาทนั้นศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นพิพาทได้ โดยไม่จำต้องรอผลการรังวัดสอบเขตที่ดินรายพิพาท หากจำเลยเห็นว่าผลของการรังวัดทำให้จำเลยต้องยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ จำเลยก็อาจทำได้โดยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การต่อศาล

ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นมิได้พิจารณาว่าจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่นั้น เห็นว่าจำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างเรือนในที่ดินของโจทก์ แต่ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยซึ่งซื้อไว้จาก ส. จำเลยร่วมโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย จำเลยมิได้กล่าวในคำให้การว่าได้ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินพิพาทโดยสุจริต ศาลชั้นต้นจึงตั้งประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงว่า จำเลยได้ปลูกสร้างอาคารอยู่ในที่ดินของโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยก็มิได้คัดค้านประการใด คดีจึงไม่มีข้อให้วินิจฉัยเลยไปถึงว่า ถ้าโรงเรือนที่จำเลยปลูกสร้างไว้ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ จำเลยกระทำโดยสุจริตหรือไม่

ส่วนฎีกาที่ว่า การที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงเพียงจากโจทก์จำเลยแล้วมีคำสั่งงดสืบพยาน โดยไม่เรียกตัวจำเลยร่วมมาสอบถามก่อนย่อมไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมีหมายเรียก ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของจำเลย แต่จำเลยร่วมก็ไม่ยอมเข้ามาในคดีจนศาลชั้นต้นมีคำสั่งขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อศาลชั้นต้นทำการสอบข้อเท็จจริงเห็นว่าพอที่จะวินิจฉัยข้อพิพาทได้ ศาลชั้นต้นก็ไม่จำต้องทำการสืบพยานต่อไป และไม่มีกฎหมายบังคับศาลว่า ในกรณีเช่นนี้ต้องเรียกจำเลยร่วมมาสอบถามด้วย

พิพากษายืน

Share