แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีภริยาไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ แต่ความจริงนั้นทั้งสองฝ่ายมิได้มี่เจตนาจะหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา กันเลย ที่ทำไปก็เพื่อจะลวงผู้อื่นเกี่ยวกับทรัพย์สินของสามีภริยานั่นเอง แล้วภริยาทำนิติกรรมขายที่ดินบ้านเรือนอัน เป็นสินเดิมให้สามีเพื่อกีดกันบุตรของภริยาอันเกิดแก่สามีคนเก่า แต่ความจริงมิได้ขายกัน ดังนี้ นิติกรรมซื้อขาย ย่อมเป็นโมฆะ.
ภริยามีเจตนาจะขายฝากที่ดินแก่ผู้อื่น แต่เนื่องจากไม่เข้าใจในกิจธุระเช่นนี้ และไม่รู้หนังสือ สามีจัดการขายฝาก ให้แก่ผู้อื่นไป โดยสามีใช้กลฉ้อฉล ดังนี้ เมื่อที่ดินนั้นกลับตกมาเป็นของสามีอีก และสามีภริยามิได้เจตนาหย่ากัน จริง สามีจะเอาที่ดินนั้นไว้เป็นของตนไม่ได้/
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินบ้านเรือนยุ้งข้าวพิพาทเป็นของโจทก์โดยซื้อมาจากจำเลย แล้วให้จำเลยอาศัยบัดนี้โจทก์ไม่พอใจ จำเลย จึงขอให้จำเลยออก จำเลยไม่ยอมออก จึงขอให้ขับไล่.
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์เป็นสามีจำเลย ที่ไปจดทะเบียนการหย่ากันนั้น ไม่ใช่หย่ากันจริง และนิติกรรมซื้อขายที่พิพาททำไว้ เป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อลวงบุตรจำเลยอันเกิดจากสามีคนเดิม ความจริงมิได้มีเจตนาขายกัน นิติกรรมจึงเป็นโมฆะ จำเลยฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายรายนี้ด้วย.
อีกสำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้าทำนา จึงขอให้แสดงว่านาพิพาทเป็นของโจทก์และ ขับไล่จำเลย.
จำเลยที่ ๑ อ้างว่านาพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑, จำเลยอื่นเข้าทำนาโดยอาศัยอำนาจจำเลยที่ ๑.
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า การแสดงเจตนาโดยการจดทะเบียนการหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ระหว่าง โจทก์จำเลยนั้นดดยจริงใจของโจทก์ จำเลยมิได้เจตนาจะให้คนต้องผูกันระหว่างกันเองตามที่แสดงออกมานั้น จำเลยจึงไม่ขาดจากสามีภริยากัน.
ในข้อ ๒ สำหรับที่นาซึ่งจำเลยขายให้นายสิงห์เหมยนั้น โจทก์รับว่าที่รายนี้เป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ ควรเชื่อหลักฐาน ฝ่ายจำเลยว่าจำเลยเจตนาขายฝาก ละเมื่อจำเลยที่ ๑ ยังเป็นสามีภริยากันอยู่แล้ว จะฟ้องร้องในเรื่องทรัพย์เช่นนี่ ใน ระหว่างที่ยังเป็นผัวเมียกันหาได้ไม่.
ในข้อ ๓ สำหรับที่ดินบ้าน จำเลยที่ ๑ ทำโอนให้โจทก์โดยเจตนาลวงบุตรผัวก่อนของจำเลยที่ ๑ ดดยสมรู้กับโจทก์ผู้เป็น สามีใหม่ ดังนี้แล้ว เมื่อไม่มีบุคคลภายนอกมาเกี่ยวข้องเสียหายด้วย นิติกรรมนี้ก็เป็นโมฆะ.
จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินบ้านเรือนพิพาทกับเพิกถอนการจดทะเบียนการหย่า ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลย หย่ากันแล้วและฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ จึงพิพากษากลับว่าที่ดินบ้านเรือนพิพาท ตามฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว เห็นชอบด้วยคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า นางสีนวลจำเลยและโจทก์ไปขอจดทะเบียนการหย่า
พอเป็นพิธี เพื่อกลอุบายตามความคิดของโจทก์ ซึ่งโจทก์รู้อยู่เต็มใจว่านางสีนวลมิได้ตั้งใจหย่ากับโจทก์ หากแต่ทำความ ต้องการของโจทก์เพื่อลวงผู้อื่น
เรื่องการขายนาแก่นายสิงห์เหมยนั้น ก็เชื่อว่าจำเลยมีเจตนาเพียงการขายฝาก แต่โจทก์กลับจัดการให้เป็นการขายฝาก โดยกลฉ้อฉล เมื่อนากลับตกมาเป็นของโจทก์ และโจทก์จำเลยไม่มีเจตนาหย่ากันจริง โจทก์จะเอามาไว้เป็นของตนไม่ ได้.
ส่วนสัญญาขายที่ดินบ้าน ก็ฟังอย่างศาลชั้นต้น.
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ทำลายนิติกรรม ซื้อขายที่ดินบ้านเรือน ยุ้งข้าว ให้ทรัพย์เป็นของจำเลยตามฟ้องแย้ง.