แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้ระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้ว่า “ยอมให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายอย่างสูง” เป็นข้อความที่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นอัตราสูงเท่าไร ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กู้ ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา7
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินจากโจทก์จำนวน ๙๘,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ครบกำหนดจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินต้นคืนรวมทั้งค้างดอกเบี้ยตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้าง
จำเลยทั้งสองให้การว่าได้ทำสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามฟ้อง แต่จำเลยที่ ๑ รับเงินไปเพียง ๗,๐๐๐ บาท เหตุที่ปรากฏตามสัญญากู้เป็นเงิน ๙๘,๐๐๐ บาท เพราะโจทก์นำดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจำนวน ๙๑,๐๐๐ บาท รวมเข้าไปด้วยหนี้ในส่วนดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินจำนวน ๗,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนจนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๙๘,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันกู้จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนจนครบ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑ ได้เขียนระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้ว่า “ยอมให้ดอกเบี้ยตามกฎหมายอย่างสูง” เห็นว่าข้อความดังกล่าวมิได้เป็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นอัตราอย่างสูงเท่าไร ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย คือโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยในต้นเงินกู้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี.