แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยก่อนจำเลยเปลี่ยนฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจเมื่อจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจแล้วพนักงานของจำเลยได้เปลี่ยนฐานะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งต้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 โจทก์มีอายุเกิน60 ปีบริบูรณ์ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 9(2) และต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 11แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุตามกฎหมาย มิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจว่าต้องมีอายุไม่เกิน60 ปีบริบูรณ์นั้นเป็นบทกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติไว้โดยเฉพาะมิได้เกี่ยวกับระยะเวลาการจ้างจะนำมาตรา 582แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกับการเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุไม่ได้เมื่อโจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติโดยครบเกษียณอายุจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2508 เมื่อครบเกษียณอายุ จำเลยต่ออายุการทำงานให้โจทก์เรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2527 จำเลยต่ออายุการทำงานให้โจทก์ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2527 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2528 ต่อมาวันที่ 26 กันยายน 2527 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไปโดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจ้าง 281,400 บาท ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 300,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 23,650 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยเป็นบริษัทจำกัดของเอกชน ต่อมาเมื่อวันที่9 สิงหาคม 2527 กระทรวงการคลังได้เข้าถือหุ้นของบริษัทจำเลยร้อยละ 51 จำเลยจึงเปลี่ยนฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9, 11 กำหนดว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ โจทก์มีอายุ 66 ปี จึงขาดคุณสมบัติจำเลยจึงต้องเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจ่ายค่าตอบแทนให้โจทก์ไปแล้ว 241,377.50 บาทโจทก์จึงไม่เสียหาย โจทก์เรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อน จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยเป็นธรรมซึ่งไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มีอายุ 66 ปีจึงขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้และถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 23,650 บาทแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยก่อนจำเลยเปลี่ยนฐานะมาเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีระเบียบงานบุคคลใช้บังคับ เมื่อจำเลยต่ออายุการทำงานให้โจทก์ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยเปลี่ยนสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจภายหลังที่มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้ว จึงไม่เป็นธรรมต่อไป ถือไมไ่ด้ว่าจำเลยมีเหตุตามกฎมหายที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ เห็นว่ากระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นในบริษัทจำเลยเป็นจำนวนร้อยละ 51 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2527 ดังนั้นบริษัทจำเลยจึงมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายพนักงานของจำเลยจึงเปลี่ยนฐานะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 โจทก์ซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์แล้วจึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 9(2) และต้องถูกบังคับตามมาตรา 11 ให้พ้นจากตำแหน่งโดยไม่อาจกล่าวอ้างถึงการที่จำเลยขณะที่ยังไม่เป็นรัฐวิสาหกิจได้ต่ออายุการทำงานนั้นมาเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจต่อไปอีกได้ จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ ฯลฯ การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุตามกฎหมาย มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 เป็นบทบัญญัติเรื่องการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าเกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง ส่วนการกำหนดคุณสมบัติของพนักงานรัฐวิสาหกิจว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจมีอายุไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9(2) นั้น เป็นบทกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติไว้โดยเฉพาะมิได้เกี่ยวกับระยะเวลาการจ้าง กรณีเช่นนี้จะนำมาตรา 582 ดังกล่าวมาใช้บังคับกับการเลิกจ้างเพราะเหตุเกษียณอายุมิได้ ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติโดยครบเกษียณอายุ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ ฯ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับคำขอที่ขอให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง