คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3687/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในคดีล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14 ประเด็นพิพาทในคดีจึงมีว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่
คดีก่อน โจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมมาฟ้องขอให้จำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. และ ส. ล้มละลาย แต่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า ส. ยังมีที่ดินอีก 11 แปลง ที่โจทก์อาจยึดมาชำระหนี้ได้ คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. และ ส. ไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้จำเลยจึงไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว การที่โจทก์กลับนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายอีกโดยอ้างว่า เมื่อได้ยึดที่ดินของ ส. ที่ปลอดจำนองทั้งหมดอีก 6 แปลงแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ไม่พอชำระหนี้โจทก์ทั้งหมด และจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ก็เป็นเหตุดังที่เคยอ้างและศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อนเมื่อคู่ความในคดีก่อนกับคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันเป็นมูลหนี้ตามคำพิพากษาเดียวกันและเหตุที่อ้างว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวก็เป็นมูลเหตุเช่นเดียวกันซึ่งศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่งประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 409/2529 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม2529 ให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระเงิน 18,804,098.41 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 9,796,310.08 บาท ของต้นเงินกู้จำนวน 2,500,000 บาท ของต้นเงินตามตั๋วแลกเงินจำนวน 999,936 บาท และของต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน4,000,000 บาท นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยกับพวกไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอหมายบังคับคดีและยึดทรัพย์สินของจำเลยกับพวกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้เพียงบางส่วนคิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 14,281,382.07 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่โจทก์จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ และจำเลยได้หลบหนีไปจากเคหะสถานที่เคยอยู่อาศัยเพื่อประวิงการชำระหนี้หรือมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ พฤติการณ์ของจำเลยต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ำกับคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.7/2537 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายในมูลหนี้เดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ เลาหพูนรังษีเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 409/2529ของศาลจังหวัดสีคิ้วเป็นเงิน 18,804,098.41 บาท พร้อมดอกเบี้ย แต่จำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำยึดทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ในคราวแรกขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วนจำนวน20,673,720 บาท และนำยึดทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ในคราวที่สองขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้ 105,895 บาทแต่จำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ยังเป็นหนี้โจทก์ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 อยู่อีก 10,821,675 บาท ตามสำเนาบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 โจทก์ได้นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ให้ล้มละลายตามคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.7/2537ของศาลจังหวัดสีคิ้ว แต่ศาลจังหวัดสีคิ้วพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาเอกสารหมาย ล.1 หลังจากนั้นโจทก์ได้นำยึดที่ดินของนายสุพัฒน์อีก 6 แปลง เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 474,000 บาท ขณะอยู่ระหว่างการประกาศขายทอดตลาดโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายเป็นคดีนี้อีกโดยอ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว

มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.7/2537 ของศาลจังหวัดสีคิ้วหรือไม่ เห็นว่า ในคดีล้มละลายศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ประเด็นพิพาทในคดีจึงมีว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ปรากฏตามคำพิพากษาศาลจังหวัดสีคิ้วคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.7/2537 ว่า โจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 409/2529 ของศาลจังหวัดสีคิ้วมาฟ้องขอให้จำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ล้มละลายแต่ศาลจังหวัดสีคิ้วได้วินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า นายสุพัฒน์ยังมีที่ดินอีก11 แปลง ที่โจทก์อาจยึดมาชำระหนี้ได้ คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเหล่าถาวรบริการและนายสุพัฒน์ไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงมาชำระหนี้ จำเลยจึงไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว การที่โจทก์กลับนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายอีกโดยอ้างว่าเมื่อได้ยึดที่ดินของนายสุพัฒน์ที่ปลอดจำนองทั้งหมดอีก 6 แปลงแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เพียง 474,000 บาท ไม่พอชำระหนี้โจทก์ทั้งหมดและจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวก็เป็นเหตุดังที่เคยอ้างและศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วในคดีก่อน ดังนี้ เมื่อคู่ความในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.7/2537ดังกล่าวกับคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันเป็นมูลหนี้ตามคำพิพากษาเดียวกันและเหตุที่อ้างว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวก็เป็นมูลเหตุเช่นเดียวกัน ซึ่งศาลจังหวัดสีคิ้วได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วในคดีดังกล่าวจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.7/2537ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483”

พิพากษายืน

Share