คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3688/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาคนละแห่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องที่จะให้จำเลยที่ 2 พักอาศัยอยู่กับโจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกัน ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์มีฐานะความรักใคร่และดูแลเอาใจใส่จำเลยที่ 2 อย่างดี เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ที่จะได้รับการดูแลและให้การศึกษาที่เหมาะสม สมควรกำหนดให้จำเลยที่ 2 ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ผู้เป็นบิดาในระหว่างเปิดภาคการศึกษาประจำปีแต่ละภาคการศึกษา โดยให้สิทธิแก่จำเลยที่ 1 ที่จะรับเอาตัวจำเลยที่ 2 ไปดูแลหลังจากปิดภาคการศึกษาแต่ละภาค นับตั้งแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะบรรลุนิติภาวะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ร่วมหลับนอนกับจำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๑ คลอดจำเลยที่ ๒ แต่จำเลยที่ ๑ แจ้งต่อนายทะเบียนว่านายดาบตำรวจเจริญเป็นบิดาจำเลยที่ ๒ ครั้นปี ๒๕๓๙ โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรโจทก์ซึ่งเกิดกับจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงรับจำเลยที่ ๒ มาอุปการะเลี้ยงดูและดำเนินการแก้ไขชื่อบิดาของจำเลยที่ ๒ เป็นชื่อโจทก์ โจทก์ประสงค์จะจดทะเบียนจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายโดยแจ้งให้จำเลยที่ ๑ มาให้ความยินยอม แต่จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย ทั้งกลับมารับจำเลยที่ ๒ ไปจากโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันให้ความยินยอมแก่โจทก์ในการจดทะเบียนรับรองจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ให้ความยินยอม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงแทนเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจปกครองและเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะแต่เพียงผู้เดียว
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ โจทก์ข่มขืนแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ จำเลยที่ ๑ จึงอยู่กินฉันสามีภริยากับชายอื่น มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เพียงผู้เดียวเลี้ยงดูตลอดมา เมื่อปี ๒๕๓๘ มารดาจำเลยที่ ๑ บังคับให้จำเลยที่ ๑ แก้ไขสูติบัตรของจำเลยที่ ๒ ว่า โจทก์เป็นบิดาของจำเลยที่ ๒ แล้วโจทก์บังคับเอาจำเลยที่ ๒ ไปอยู่ในความปกครอง เมื่อจำเลยที่ ๒ ปิดภาคเรียน จำเลยที่ ๑ จึงรับจำเลยที่ ๒ กลับมาเพราะจำเลยที่ ๒ ไม่ประสงค์จะอยู่กับโจทก์ จำเลยที่ ๑ สามารถให้การเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ ได้เป็นอย่างดี นับแต่จำเลยที่ ๑ คลอดจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่เคยส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ เลย ขอให้โจทก์ชำระค่าเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ เป็นเงินเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ จนกว่าจำเลยที่ ๒ จะมีอายุ ๑๕ ปี เป็นเงินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท และค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ ๒ นับแต่อายุ ๑๕ ปี จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเป็นเงินเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลยที่ ๑ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ ขัดกับคำให้การ ประกอบกับเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข จึงไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนรับจำเลยที่ ๒ เป็นบุตร โดยให้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ร่วมกันใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เนื่องจากโจทก์และจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาคนละแห่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องที่จะให้จำเลยที่ ๒ พักอาศัยอยู่กับโจทก์และจำเลยที่ ๑ ร่วมกัน ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์มีฐานะความรักใคร่และดูแลเอาใจใส่จำเลยที่ ๒ อย่างดี เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ ที่จะได้รับการดูแลและให้การศึกษาที่เหมาะสม สมควรกำหนดให้จำเลยที่ ๒ ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ผู้เป็นบิดาในระหว่างเปิดภาคการศึกษาประจำปีแต่ละภาคการศึกษา โดยให้สิทธิแก่จำเลยที่ ๑ ที่จะรับเอาตัวจำเลยที่ ๒ ไปดูแลหลังจากปิดภาคการศึกษาแต่ละภาค นับตั้งแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๒ จะบรรลุนิติภาวะ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์ผู้เป็นบิดาในระหว่างเปิดภาคการศึกษาประจำปีแต่ละภาคการศึกษา โดยให้สิทธิแก่จำเลยที่ ๑ ที่จะรับเอาตัวจำเลยที่ ๒ ไปดูแลหลังจากปิดภาคการศึกษาแต่ละภาค นับตั้งแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๒ จะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ.

Share