แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 รับแจ้งการประเมินแล้ว ไม่อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่เรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มจากจำเลยที่ 1 ย่อมถึงที่สุด จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามฟ้องและเมื่อการประเมินถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีปัญหาว่ายอดรายรับที่เจ้าพนักงานประเมินใช้ในการประเมินภาษีชอบหรือไม่ ทั้งปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลภาษีอากรกลางจึงไม่มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์กำหนดให้จำเลยที่ 1แสดงยอดรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2527เป็นต้นไปเดือนละไม่ต่ำกว่า 173,000 บาท จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งหรือคัดค้าน ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ตรวจสอบการชำระภาษีการค้าของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2527 ถึงเดือนธันวาคม 2530 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 แสดงยอดรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าต่ำกว่ายอดรายรับที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดไว้3,265,995 บาท ต้องชำระภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มเป็นเงิน 244,949.63 บาท และ 24,494.96 บาท ตามลำดับซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ 1 ทราบแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่นำเงินภาษีอากรดังกล่าวไปชำระให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 แสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้องจึงต้องเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของภาษีการค้าที่ต้องเสียเพิ่มกับต้องเสียเงินเพิ่ม ตลอดจนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาล คำนวณถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2532 แล้วเป็นเงิน 431,797.72 บาทรวมเป็นภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 701,242.32บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวด้วยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้างแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการชำระบัญชี ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินที่กล่าวแล้วกับเงินเพิ่มภาษีการค้า และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละ 10ของเงินภาษีการค้าที่ต้องชำระเพิ่มแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการขาดทุนตลอดมา ทั้งยื่นรายการเพื่อชำระภาษีการค้าและชำระภาษีการค้าไว้ถูกต้องแล้ว การกำหนดรายรับของโจทก์สูงกว่าความเป็นจริงจำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า การประเมินของโจทก์ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด ประกอบกิจการค้าประเภทขายอาหารและเครื่องดื่ม มีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์มีเหตุอันควรสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการการค้ารายรับต่ำกว่าความเป็นจริงโจทก์จึงส่งเจ้าพนักงานของโจทก์ไปยังสถานการค้าของจำเลยที่ 1 ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม2527 ถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2527 เพื่อสังเกตการณ์การขายและควบคุมยอดรายรับของจำเลยที่ 1 ได้ความว่าในแต่ละเดือน จำเลยที่ 1มีรายรับเดือนละประมาณ 173,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการการค้าเพื่อชำระภาษีการค้าโดยมียอดรายรับไม่ต่ำกว่าเดือนละ 173,000 บาท ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2527 เป็นต้นไป ซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคัดค้านหรือไม่เห็นด้วย ต่อมาเมื่อโจทก์ตรวจสอบการชำระภาษีการค้าของจำเลยที่ 1 ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2527 ถึงเดือนมกราคม 2530 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยื่นแบบขอชำระภาษีการค้าแสดงยอดรายรับต่ำกว่ายอดรายรับที่เจ้าพนักงานของโจทก์กำหนดรวม3,265,995 บาท เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงทำการประเมินให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีการค้าเพิ่มตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และไม่ชำระภาษีอากรตามที่แจ้งการประเมินให้โจทก์ มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องชำระภาษีอากรตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 รับแจ้งการประเมินแล้วหากการประเมินไม่ชอบอย่างไร จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ต้องเสียภาษีอากรมีสิทธิที่จะอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ได้ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่อุทธรณ์ การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังที่ได้ความมาแล้วการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่เรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่มจากจำเลยที่ 1 ย่อมถึงที่สุด จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าการประเมินไม่ชอบเพราะยอดรายรับที่นำมาประเมินไม่ถูกต้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อการประเมินเป็นอันถึงที่สุดดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีปัญหาว่ายอดรายรับที่เจ้าพนักงานประเมินใช้ในการประเมินภาษีชอบหรือไม่ ทั้งปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลภาษีอากรกลางจึงไม่มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระภาษีอากรจำนวน701,242.72 บาท (รวมเงินเพิ่มภาษีการค้าคิดถึงวันที่ 15 พฤษภาคม2532 จำนวน 147,593.75 บาทแล้ว) และเงินเพิ่มภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีการค้าที่ต้องชำระเพิ่มจำนวน 244,949.63 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่มิให้เกิน 97,355.88 บาท (เงินเพิ่มภาษีการค้าพิพากษาให้ชำระแล้ว 147,593.75 บาท) และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเพิ่มภาษีการค้าที่กล่าวแล้วด้วย