คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืน จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายแล้วร่วมกันชกต่อยเตะผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295,365, 83 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับพวกเกิดชกต่อยกับผู้เสียหายและพวกที่หน้ากองดุริยางค์กรมตำรวจ เมื่อมีคนมาห้ามก็เลิกชกต่อยกัน และเหตุการณ์ก็ยุติลงแค่นั้น ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหะสถานของผู้เสียหายแล้วทำร้ายผู้เสียหาย อันเป็นการกระทำคนละตอน ต่างกรรม ต่างวาระเมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายอีกดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็ต้องยกฟ้องโจทก์ จะถือเอาการที่จำเลยต่อยกับผู้เสียหายที่หน้ากองดุริยางค์มาลงโทษจำเลยหาได้ไม่เพราะต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษ

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าวันเกิดเหตุเวลากลางคืน จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนีได้บังอาจร่วมกันบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของพลตำรวจมนูญ ฉิมสังข์ แล้วใช้กำลังกายชกต่อยเตะ ประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายนั้น และพลตำรวจประหยัดบุญแก้วขวัญ ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งถึงบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365 และ 83

จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้งสองและผู้เสียหายกับพวกวิวาทชกต่อยกันที่หน้ากองดุริยางค์ กรมตำรวจ เมื่อมีผู้มาห้ามก็เลิกชกต่อยกัน เหตุการณ์ยุติลงที่หน้ากองดุริยางค์นั่นเอง จำเลยทั้งสองมิได้บุกรุกเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในบ้านพลตำรวจมนูญผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องคดีนี้แสดงให้เห็นชัดว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นหลังการบุกรุกแต่เมื่อทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีกหลังจากการวิวาทชกต่อยกันที่หน้ากองดุริยางค์ยุติไปแล้ว ดังนี้ ศาลย่อมต้องยกฟ้องโจทก์ จะถือเอาการที่จำเลยชกต่อยกับผู้เสียหายที่หน้ากองดุริยางค์มาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 หาได้ไม่ เพราะการชกต่อยกันที่หน้ากองดุริยางค์นั้นเป็นคนละกรรมและขาดตอนไปแล้ว แม้จะได้ความตามข้อนำสืบของโจทก์ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2499 มาตรา 13 ที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดให้ยกฟ้องโจทก์เสียนั้นเป็นการชอบแล้ว

พิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์

Share