คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกจำเลย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ผู้เสียหายได้ฟ้องจำเลยที่ศาลแรงงานเนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างได้กระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนายจ้างอันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมผ่อนชำระหนี้เงินให้แก่ผู้เสียหายเป็นงวด ๆ หากจำเลยผิดนัดชำระงวดใด งวดหนึ่ง ยอมให้ผู้เสียหายบังคับคดีได้ทันที และผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดจากจำเลยอีก สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่ง ซึ่งไม่มีข้อตกลงว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 91 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคา 170,390 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91จำคุกกระทงละ 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน 15 วัน รวม 5 กระทง จำคุก 5 เดือน 75 วัน ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยักยอกหรือใช้ราคา 133,390 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยมีกำหนดเวลา 5 เดือน 75 วัน แล้วจำเลยอุทธรณ์คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1ผู้เสียหายได้ฟ้องจำเลยที่ศาลแรงงานกลาง และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมผ่อนชำระหนี้เงินให้แก่ผู้เสียหายเป็นงวด ๆ หากจำเลยผิดนัดชำระงวดใด งวดหนึ่ง ยอมให้ผู้เสียหายบังคับคดีได้ทันทีและผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดจากจำเลยอีกนั้น การทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ทำให้คดีโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) หรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ศาลแรงงานกลางเป็นการฟ้องเนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างได้กระทำละเมิดต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างอันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่ง สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่ง ซึ่งไม่มีข้อตกลงว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) แต่เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดและถูกดำเนินคดีเป็นครั้งแรก พยายามบรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายโดยยอมชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายไปบ้างแล้ว จึงมีเหตุอันควรปรานีและควรให้จำเลยได้อยู่อย่างอิสระโดยยังไม่จำคุกจำเลยนับเป็นการให้โอกาสแก่จำเลยหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายได้ จึงเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยอีกครั้งหนึ่งก่อน

พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share