แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้มีและพกพาอาวุธปืน ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ชิงทรัพย์เป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ ซึ่งข้อเท็จจริงได้จากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า จำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้เช่นกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครองและนำติดตัวไปในเมืองตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 2 นำรถจักรยานยนต์มาใช้โดยยังไม่ได้เสียภาษีประจำปีและไม่ได้รับใบอนุญาตให้ขับรถ ทั้งไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถและเครื่องหมายการเสียภาษี แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้เสียหาย โดยใช้อาวุธปืนจี้และใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91, 339, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา6, 11, 42, 60, 64 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 339 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา340 ตรี จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำเลยที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 6, 11, 42,60, 64 จำเลยที่ 1 อายุ 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุกฐานชิงทรัพย์ 7 ปี 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืน 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 72 ทวิ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด 6 เดือรวมจำคุก 9 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุกฐานชิงทรัพย์ 15 ปี ปรับฐานนำรถที่ยังไม่ได้เสียประจำปีมาใช้ 500 บาท ปรับฐานขับขี่รถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต 500 บาท และปรับฐานนำรถจักรยานยนต์มาใช้โดยไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ 500 บาท รวมจำคุก 15 ปีปรับ 1,500 บาท ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อหามีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 และให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในข้อหาขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และลงโทษจำเลยที่ 2ในความผิดฐานขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับจำเลยที่ 1 คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ตอบคำถามค้านของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้มีและพกพาอาวุธปืนเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิด ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 ใช้ขู่ชิงทรัพย์ผู้เสียหายมาเป็นของกลางและไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นก็เช่นกัน คงได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2ตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นจึงลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถตามฟ้องไม่ได้
พิพากษายืน.