คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1442/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยไม่มีระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้างเป็นของตนเอง จึงนำเอาระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 ของกระทรวงการคลังมาใช้บังคับโดยอนุโลมตลอดมา จนถึง พ.ศ. 2521 จำเลยจึงได้ออกข้อบังคับเกี่ยวกับเงินบำเหน็จประกาศใช้บังคับ แต่ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 กำหนดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ใช้แก่ราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งหลายเป็นการทั่วไป จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งจึงหามีอำนาจที่จะยกเลิกเพิกถอนระเบียบดังกล่าวไม่ แต่มีอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจำเลยมาตรา 15 (3) และมาตรา 18 ที่จะวางข้อบังคับเกี่ยวกับเงินบำเหน็จและเงินรางวัลของจำเลยเอง ซึ่งเมื่อได้ประกาศใช้ข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2521 แล้วย่อมมีผลเท่ากับไม่นำเอาระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 มาใช้บังคับโดยอนุโลมต่อไป ดังนั้น จะนำความในข้อ 5 วรรคท้าย และข้อ 6 ของระเบียบดังกล่าวมาใช้กับโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างไม่ได้ การจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยคดีนี้ต้องบังคับตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2521.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าสิบสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ วันเข้าทำงานและค่าจ้างครั้งสุดท้ายกับค่าครองชีพของโจทก์ปรากฎตามฟ้อง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุจำเลยหยุดดำเนินกิจการโดยโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ไม่ครบตามกฎหมาย และจ่ายเงินบำเหน็จแก่โจทก์ไม่ครบตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. ๒๕๒๑ ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์แต่ละคนตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยให้การว่า ค่าครองชีพที่จำเลยจ่ายให้โจทก์นั้นมิใช่เงินเดือน โจทก์ไม่มีสิทธินำเอาเงินค่าครองชีพมารวมกับเงินเดือนมาเป็นฐานในการคำนวณเงินบำเหน็จและค่าชดเชยได้ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินใด ๆ เพิ่มเติมจากจำเลยอีก ตามระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๐๒ ข้อ ๕ วรรคสามของกระทรวงการคลัง ซึ่งอนุโลมมาใช้กับกรณีของจำเลยด้วย โจทก์แต่ละคนได้รับเงินทั้งเงินบำเหน็จและค่าชดเชยจากจำเลยไปแล้ว เป็นการซ้ำซ้อนและรับเกินไปกว่าที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิได้รับ หากศาลฟังว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยและหรือเงินบำเหน็จเพิ่มแก่โจทก์แล้ว ก็ขอให้หักเอาจากเงินส่วนที่โจทก์แต่ละคนรับเกินไปจากจำเลย โจทก์แต่ละคนจึงไม่มีสิทธิรับเงินใด ๆ จากจำเลยอีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งห้าสิบสองพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งห้าสิบสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่าข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. ๒๕๒๑ ต้องใช้ควบคู่ไปกับข้อบังคับองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปว่าด้วยการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญ ผู้อำนวยการและพนักงานองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูป (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งข้อ ๔ ระบุไว้ว่า ให้ใช้ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๐๒ ของกระทรวงการคลังแก่ผู้อำนวยการและพนักงานองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปโดยอนุโลม…และระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๐๒ ข้อ ๕ วรรค ๓ ระบุว่า ในกรณีลูกจ้างประจำผู้ใดมีสิทธิได้รับทั้งเงินชดเชยตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกำหนดเวลาทำงานวันหยุดงานของลูกจ้าง การใช้แรงงาน… ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามระเบียบนี้ แต่ถ้าเงินชดเชยนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จที่พึงได้รับอยู่ตามระเบียบนี้เท่าใด ก็ให้จ่ายเงินบำเหน็จให้เท่ากับส่วนที่ต่ำกว่านั้น และข้อ ๖ ระบุว่า ลูกจ้างผู้ใดต้องออกจากงานเพราะยุบเลิกหรือตัดทอนงานให้ได้รับเงินบำเหน็จเท่ากับ…ให้ถือเกณฑ์การจ่ายบำเหน็จตามข้อ ๕ การที่โจทก์ทั้งห้าสิบสองได้รับทั้งเงินบำเหน็จและค่าชดเชยทั้งสองจำนวน จึงเกินไปกว่าสิทธิที่จะได้รับ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แต่เดิมมาจำเลยไม่มีระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้างเป็นของตนเอง จึงได้นำเอาระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๐๒ ตามเอกสารหมายเลข ๒ ท้ายคำให้การ ซึ่งเป็นระเบียบการที่ออกโดยมติคณะรัฐมนตรีมาใช้บังคับโดยอนุโลมดังปรากฏตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑/๒๕๐๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๐๘ เอกสารหมายเลข ๑ ท้ายคำให้การ ข้อบังคับของจำเลย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๕ ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ เอกสารหมายเลข ๓ ท้ายคำให้การ และข้อบังคับของจำเลย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๑๖ ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๖ เอกสารหมายเลข ๔ ท้ายคำให้การตลอดมา จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๑ คณะกรรมการองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ (๓) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูป พ.ศ. ๒๔๙๘ ทั้งนี้ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้ออกข้อบังคับเกี่ยวกับเงินบำเหน็จ และได้ประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๑ เป็นต้นมาดังปรากฏตามข้อบังคับองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. ๒๕๒๑ เอกสารหมายเลข ๕ ท้ายคำให้การ ความเป็นมาของระเบียบข้อบังคับเกี่ยวด้วยเงินบำเหน็จของจำเลยเป็นดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๐๒ กำหนดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ใช้แก่ราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งหลายเป็นการทั่วไป จำเลยเป็นเพียงรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในความดูแลของคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจำเลย ฉะนั้น จำเลยจึงหามีอำนาจที่จะยกเลิกเพิกถอนระเบียบฯ ดังกล่าวไม่ แต่มีอำนาจตามมาตรา ๑๕(๓) และ มาตรา ๑๘ ที่จะวางข้อบังคับเกี่ยวกับเงินบำเหน็จและเงินรางวัลของจำเลยเอง ซึ่งเมื่อได้ประกาศใช้ข้อบังคับองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้วย่อมมีผลเท่ากับไม่นำเอาระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๐๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลมต่อไป ซึ่งจำเลยเองก็ได้แถลงไว้ในวันนัดพิจารณาว่าจำเลยได้ใช้ข้อบังคับองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. ๒๕๒๑ ด้วย ดังนั้นจะนำความในข้อ ๕ วรรคท้ายและข้อ ๖ ของระเบียบดังกล่าวมาใช้กับโจทก์ทั้งห้าสิบสองไม่ได้ กรณีการจ่ายเงินบำเหน็จและค่าชดเชยคดีนี้ต้องบังคับตามข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวข้อ ๙ ระบุว่า พนักงานซึ่งออกจากงานตามข้อ ๘ มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จแต่เพียงอย่างเดียว และให้ถือว่าเป็นเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานด้วย… เห็นว่า การจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับของจำเลยฉบับดังกล่าว ข้อ ๘ ไม่จำกัดแต่เฉพาะกรณีจ่ายให้แก่พนักงานเมื่อเลิกจ้างเท่านั้น แต่พนักงานของจำเลยซึ่งออกจากงานโดยการลาออกหรือหย่อนความสามารถก็มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ เงินบำเหน็จดังกล่าวจึงมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายแตกต่างจากค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งบังคับให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เงินบำเหน็จตามข้อบังคับของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นเงินสงเคราะห์เพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้างที่ทำงานด้วยดีตลอดมาจนออกจากงาน ถือได้ว่าเป็นเงินประเภทอื่นต่างหากจากค่าชดเชยที่ข้อบังคับของจำเลยให้ถือว่าการจ่ายเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้เป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานด้วย เป็นการขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ ไม่มีผลบังคับ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งห้าสิบสองต่างหาก อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่โจทก์ที่ ๑เป็นเงิน ๒,๗๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑๐ เป็นเงิน ๕,๖๐๐ บาท ให้จ่ายดอกเบี้ยในเงินค่าชดเชยสำหรับโจทก์ที่ ๑๗ ที่ ๑๙ และที่ ๓๗ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share