คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3671/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญแสดงบัญชีกำไรขาดทุนและให้นำเงินค่าเช่ามาแบ่งสรร ให้หุ้นส่วนทั้งหลายตามสัดส่วน เมื่อเงินดังกล่าวเป็นรายรับทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย จำเลยย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากเงินจำนวนดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย โจทก์จะกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีว่าเงินดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญเพื่อนำยึดทรัพย์สินของจำเลยมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาหาได้ไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนสามัญพ.เลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1057(3)และให้โจทก์ จำเลย และผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดช่วยกันจัดทำหรือให้บุคคลอื่นซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้จัดทำ และชำระบัญชีโดยลำดับตามกฎหมาย กรณีจึงต้องจัดให้มีการชำระบัญชีตามมาตรา 1061 และเป็นหน้าที่ของ ผู้ชำระบัญชีที่จะต้องดำเนินการเกี่ยวกับหนี้สินและทรัพย์สิน ของห้างดังกล่าวต่อไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1062 และ 1063 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่อาจขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งสรร ให้หุ้นส่วนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้กรณีถือได้ว่าการบังคับคดีส่วนนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้โดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลย เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานมาตามหน้าที่เมื่อไม่เกี่ยวกับจำเลย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จึงชอบแล้วแม้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาและมีคำบังคับให้จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญโรงเลื่อยพาราสินแสดงบัญชีกำไรขาดทุนของกิจการโรงเลื่อยพาราสินตั้งแต่วันที่5 มกราคม 2536 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2536 ให้จำเลยนำเงินที่ได้จากการให้เช่าโรงเลื่อยพาราสิน 200,000 บาท มาแบ่งสรรให้หุ้นส่วนทั้งหลายตามสัดส่วน ให้เลิกกิจการห้างหุ้นส่วนสามัญโรงเลื่อยพาราสิน กับให้โจทก์ จำเลย และผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดด้วยกันจัดทำหรือให้บุคคลอื่นซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้จัดทำและชำระบัญชีโดยลำดับตามกฎหมายจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินตามน.ส.3 ก.เลขที่ 973 กับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 105 และ 165พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ระหว่างรอการขายทอดตลาด หัวหน้าสำนักงานบังคับคดีได้มีหนังสือรายงานให้ศาลชั้นต้นทราบว่า สภาพการบังคับคดีกรณีนี้ไม่เปิดช่องให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการบังคับคดีได้ เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถที่จะบังคับให้จำเลยแสดงบัญชีกำไรขาดทุนของกิจการโรงเลื่อยพาราสินได้ ผู้ที่สามารถจะปฏิบัติได้คือผู้ชำระบัญชีตามคำสั่งศาลหรือผู้ที่โจทก์ จำเลย และผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นด้วยกันแต่ตั้งขึ้นเท่านั้น และผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1259 และ 1263 การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์จำนวน 12,465 บาท และในชั้นชำระบัญชีผู้ชำระบัญชีก็ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1263 อยู่แล้วส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำเงินค่าเช่า 200,000 บาทมาแบ่งสรรให้หุ้นส่วนทั้งหลายตามสัดส่วนนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาส่วนนี้ได้ เนื่องจากบุคคลอื่นนอกจากโจทก์เป็นบุคคลภายนอกคดีการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยตามคำขอของโจทก์ เป็นการปฏิบัตินอกเหนือคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล การยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยเนื่องจากสภาพแห่งการบังคับไม่เปิดช่องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 วรรคสุดท้าย
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ค่าเช่าโรงเลื่อยพาราสินจำนวน 200,000 บาท เป็นรายรับหรือทรัพย์สินของห้างเมื่อศาลพิพากษาให้ห้างเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1057(3) แล้ว จึงต้องจัดให้มีการชำระบัญชีตามมาตรา 1061เป็นหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีที่จะต้องดำเนินการต่อไปตามมาตรา 1062และ 1063 โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาหาได้ไม่ การบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้โดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีคงยึดทรัพย์ขายทอดตลาดชำระแก่โจทก์ได้เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ ซึ่งแม้จะยึดที่ดินถึง 3 แปลง แต่ที่ดินแต่ละแปลงติดจำนองอยู่ ประกอบกับจำเลยมิได้คัดค้านว่าโจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยเกินความจำเป็น จึงไม่มีเหตุเพิกถอนการยึดที่ดิน 3 แปลงของจำเลย พิพากษากลับว่า ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 973 กับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 105 และ 165 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไป แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินที่ถูกยึดบางแปลง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า เงินจำนวน200,000 บาท เป็นเงินที่จำเลยเอาโรงเลื่อยไปให้ผู้อื่นเช่าโดยไม่ชอบ จึงเป็นเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวไม่เกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญโรงเลื่อยพาราสินจำเลยต้องนำเงินจำนวนนี้มาวางศาลเพื่อแบ่งสาระให้หุ้นส่วนตามสัดส่วนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามโจทก์ชอบที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระให้โจทก์ได้เช่นเดียวกับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวชดใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำเงินค่าเช่า 200,000 บาท มาแบ่งสรรให้หุ้นส่วนทั้งหลายตามสัดส่วน เงินดังกล่าวจึงเป็นรายรับหรือทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญโรงเลื่อยพาราสิน จำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วยย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากเงินจำนวนดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย โจทก์จะกล่าวอ้างในชั้นบังคับคดีว่าเงินดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญโรงเลื่อยพาราสินหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนสามัญโรงเลื่อยพาราสินเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1057(3) จึงต้องจัดให้มีการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1061 และเป็นหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีที่จะต้องดำเนินการเกี่ยวกับหนี้สินและทรัพย์สินของห้างดังกล่าวต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1062และ 1063 โจทก์ไม่อาจขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งสรรให้หุ้นส่วนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ กรณีถือได้ว่าการบังคับคดีส่วนนี้ไม่เปิดช่องให้ทำได้โดยทางเข้าพนักงานบังคับคดี
โจทก์ฎีกาข้อต่อไปว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยเกี่ยวกับเงินค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ว่าให้เป็นพับไม่ชอบเพราะโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์เห็นว่า อำนาจเกี่ยวกับการบังคับคดีนั้นเป็นของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นแต่เพียงเจ้าพนักงานของศาลที่จะบังคับคดี คดีนี้เหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลย เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานตามหน้าที่ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ซึ่งไม่เกี่ยวกับจำเลยแต่อย่างใด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3สั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share