คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้จำนองตกลงให้ผู้รับจำนองขายทรัพย์ที่จำนองไว้ก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 711 นั้นก็มีผลเพียงไม่สมบูรณ์โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามข้อตกลงไม่ได้เท่านั้น แต่ถ้าผู้รับจำนองเอาทรัพย์นั้นขายให้แก่บุคคลอื่นตามข้อตกลง โดยผู้จำนองรู้เห็นด้วย และมิได้ทักท้วงอย่างใดทั้งผู้ซื้อก็ได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ โดยสงบและเปิดเผยเป็นเวลา 20 ปีแล้วดังนี้ ผู้ซื้อก็ได้กรรมสิทธิ์ ผู้จำนองจะรื้อฟื้นเอาความไม่สมบูรณ์นั้นมาว่ากล่าวขอไถ่ถอนจำนองอีกหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 22 ตุลาคม 2478 โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1ได้กู้เงินของจำเลยที่ 1 เป็นจำนวน 1,300 บาท โดยนำที่นาโฉนดตราจองที่ 276 จำนองไว้กับจำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์ออกจากสมาชิกของจำเลยที่ 1 ไป จำเลยที่ 1 หักเงินที่โจทก์ผ่อนชำระหนี้ไว้ตามระเบียบข้อบังคับสหกรณ์เป็นจำนวน 1,000 บาทเพื่อชำระหนี้จำนอง และจำเลยที่ 1 ได้จัดให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 เข้าทำประโยชน์ในที่นาของโจทก์นั้น เพื่อนำรายได้มาชำระหนี้จำนองที่ยังขาดอยู่อีก 387.41 บาท แทนโจทก์ บัดนี้โจทก์ประสงค์จะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 1 และไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 2 ทำนาของโจทก์อีก ได้บอกกล่าวจำเลยแล้วก็เพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายไม่น้อยกว่าปีละ 600 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับไถ่ถอนจำนองและให้จำเลยที่ 2 ตลอดบริวารออกไปจากที่นาโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 1 แล้วหลบหนีออกนอกแดนสหกรณ์ไม่ชำระหนี้ ที่ประชุมใหญ่สมาชิกสหกรณ์ พ.ศ. 2479 จึงรับจำเลยที่ 2 เข้าเป็นสมาชิกและรับชำระหนี้แทนโจทก์ 300 บาทโดยยกที่นาที่โจทก์จำนองกับที่ดินนอกโฉนดอีก 1 แปลงให้จำเลยที่ 2 เป็นการตอบแทน ต่อมาที่ประชุมใหญ่ พ.ศ. 2480 ตกลงให้สมาชิกที่มีส่วนร่วมในสหกรณ์เกี่ยวกับโจทก์พร้อมทั้งผู้ค้ำประกันโจทก์ ออกเงินชดใช้หนี้ของโจทก์ที่ยังขาดอยู่ 950 บาท 23 สตางค์ หมดสิ้นไปแล้ว จำเลยที่ 2 เข้าครอบครองที่นาในโฉนดและนอกโฉนดที่จำเลยที่ 1 มอบให้อย่างเป็นเจ้าของ โดยความสงบเปิดเผย แต่ พ.ศ. 2479 ตลอดมาเป็นเวลา 20 ปีเศษแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายโจทก์ละทิ้งการครอบครองไปมิได้เกี่ยวข้อง ย่อมขาดสิทธิครอบครอง ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า บันทึกตกลงให้จำหน่ายนาที่จำนองตามเอกสารหมาย ล.7 นั้น ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 711 แต่ถือว่าเป็นการสละสิทธิ และมอบให้จำเลยที่ 1 ขายนาที่จำนอง การที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เข้ารับหนี้โจทก์ไป 300 บาท และมอบนาให้จำเลยที่ 2 เข้าทำประโยชน์นั้น ก็เป็นการขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 แทนโจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองที่นาอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา 20 กว่าปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารหมาย ล.7 ทำขึ้นก่อนหนี้จำนองถึงกำหนดชำระจึงฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 711 การจำนองรายนี้จึงยังคงมีอยู่ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ครอบครองนาที่จำนองมากว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ ที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับไถ่ถอนจำนองจึงเป็นการพ้นวิสัยที่จะบังคับได้ และเมื่อสภาพไม่เปิดช่องให้บังคับได้ก็ต้องยกฟ้อง จึงพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว แม้ข้อตกลงตามเอกสาร ล.7 ที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ผู้รับจำนองขายที่นาที่โจทก์จำนองได้นั้น จะถือว่าเป็นข้อตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระ อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 711 ก็ตาม ข้อตกลงที่ฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนี้ ก็มีผลเพียงไม่สมบูรณ์ โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามข้อตกลงไม่ได้เท่านั้นแต่ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างยินยอมให้ปฏิบัติไปแล้วตามข้อตกลงนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะรื้อฟื้นเอาความไม่สมบูรณ์นั้นมาว่ากล่าวกันอีกหาได้ไม่ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 รับใช้หนี้แทนโจทก์ และมอบนาที่โจทก์จำนองไว้ให้จำเลยที่ 2 ไปครอบครองเป็นเจ้าของ ซึ่งเท่ากับขายนาที่จำนองให้แก่จำเลยที่ 2 ไปตามข้อตกลงนั้น และตามท้องสำนวนฟังได้ว่า โจทก์ก็รู้เห็นด้วย และมิได้ทักท้วงอย่างใดเป็นเวลากว่า 20 ปีมาแล้ว โจทก์จะรื้อฟื้นเอาความไม่สมบูรณ์นั้นมาว่ากล่าวเอากับจำเลยที่ 1 อย่างใดหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการจำนองยังมีอยู่ หากสภาพไม่เปิดช่องให้บังคับจำเลยที่ 1 รับไถ่ถอนจำนองได้ จึงไม่บังคับให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นชอบด้วยโดยต้องถือว่าการจำนองรายนี้ได้ระงับไปโดยชอบแล้วตามข้อตกลงนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้างสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจำนองต่อกันไม่ได้แล้ว ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงตกไป ส่วนฟ้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นั้น มิใช่ว่าการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 จะถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 2 ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ด้วยการครอบครองมานานกว่า20 ปี โจทก์หามีสิทธิฟ้องเรียกคืนจากจำเลยที่ 2 ได้ไม่

พิพากษายืน

Share