แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
รถยนต์กระบะของกลางมีสภาพเป็นรถใหม่ผู้เสียหายซื้อมาก่อนเกิดเหตุ 5 เดือน ราคา 335,000 บาท แต่ขณะที่จำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลางปรากฏว่าไม่มีกุญแจและบริวารกุญแจไขประตูและกุญแจสตาร์ทชำรุด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายวงกลมและหลักฐานการทำประกันภัยก็ไม่มีที่รถ ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้รับซื้อรถยนต์กระบะของกลางไว้ในราคา 80,000 บาท ดังนี้ ตามพฤติการณ์พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลางโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(1)(7), 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาหลังคาไฟเบอร์เป็นเงิน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 3 ปีจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมรถยนต์กระบะของกลางที่ถนนรอบเวียงประตูสารตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา มีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหารับของโจรหรือไม่ โจทก์มีนายสมชัย รัตนพิบูลย์เบิกความว่า พยานเปิดอู่เคาะพ่นสีรถยนต์ชื่อว่า ช. บริการเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2537 นายอ้วนซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนนำรถยนต์กระบะของกลางมาให้เคาะพ่นสีระหว่างประตูกับบังโคลนบุบ พยานตรวจสอบแล้วตีราคาค่าซ่อม5,000 บาท และบอกว่าใช้เวลาซ่อม 5 วันเสร็จ รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา นายอ้วนกับจำเลยมาดูรถที่อยู่และคุยกันที่รถได้สักครู่ก็กลับไป รุ่งขึ้นจำเลยมาที่อู่คนเดียวบอกพยานว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อมให้เก็บจากจำเลย ต่อมาอีกประมาณ 2 วันเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามมาหาพยานที่อู่บอกว่ารถยนต์กระบะของกลางที่รับซ่อมไว้เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาและถามว่าใครนำมาซ่อมพยานบอกว่าไม่ทราบชื่อ รู้จักแต่คนที่จ่ายเงินค่าซ่อมคือจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจให้พยานโทรศัพท์ติดต่อจำเลยให้มาที่อู่ในวันรุ่งขึ้นโดยบอกว่าจะขอเบิกเงิน รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกาจำเลยมาที่อู่ เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับกุมจำเลยพันตำรวจโทอิทธิพล กิจสุวรรณ พยานโจทก์อีกปากเบิกความสนับสนุนว่า ขณะเกิดเหตุพยานรับราชการที่แผนก 3กองกำกับการ 2 กองปราบปราม พยานได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนจับกุมคนร้ายลักรถยนต์ เมื่อประมาณ เดือนมีนาคม 2537 พยานได้สืบสวนจับกุมแก๊งลักรถยนต์ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงแล้วนำไปแปรสภาพส่งไปขายตามชายแดนทราบว่าแหล่งแปรสภาพอยู่ที่เขตหนองจอก จึงไปทำการจับกุมและตรวจค้นได้รถยนต์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดหลายคันและจับกุมคนร้ายได้หลายคน รวมทั้งนายณัฐพงษ์ด้วย พยานสอบถามถึงรถยนต์กระบะของกลาง นายณัฐพงษ์อบกว่าได้นำไปส่งที่จังหวัดพะเยา วันที่ 1 มิถุนายน 2537 พยานให้นายณัฐพงษ์นำไปที่จังหวัดพะเยา นายณัฐพงษ์นำไปที่บ้านนายจีระพลพยานจับกุมนายจีระพลแล้วนายณัฐพงษ์นำพยานไปที่อู่ของนายสมชัยและชี้ให้ดูรถยนต์กระบะของกลางซึ่งจอดอยู่ที่ในอู่รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 9 นาฬิกา พยานไปที่อู่ของนายสมชัยสอบถามแล้วนายสมชัยบอกว่า จำเลยนำรถยนต์กระบะของกลางมาซ่อมสี พยานให้นายสมชัยติดต่อจำเลยมาที่อู่ เมื่อจำเลยมาพยานสอบถาม จำเลยบอกว่าซื้อรถยนต์กระบะของกลางมาราคา80,000 บาท และรับว่ารถยนต์กระบะของกลางถูกลักมา แต่จำเลยไม่ได้ร่วมลักทรัพย์ด้วย พยานแจ้งข้อหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร พยานทำบันทึกการจับกุมและยึดรถยนต์กระบะของกลางไว้ตามเอกสารหมายจ.10 นำมาให้ผู้เสียหายดูแล้วยืนยันว่าเป็นรถของตน จึงคืนให้ผู้เสียหายไป เห็นว่าพันตำรวจโทอิทธิพลพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ไปตรวจค้นและจับกุมจำเลยดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานของรัฐมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมายฐานลักรถยนต์ได้ทั่วราชอาณาจักร เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก็ได้ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ทั้งพยานไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าจะแกล้งกล่าวหาและจับกุมจำเลยแม้นายสมชัยและพันตำรวจโทอิทธิพลจะเบิกความแตกต่างกันบ้างว่า ผู้ใดเป็นผู้นำรถยนต์กระบะของกลางมาซ่อม โดยนายสมชัยเบิกความว่า นายอ้วนเป็นผู้นำรถมาซ่อม ส่วนพันตำรวจโทอิทธิพลเบิกความว่า นายสมชัยบอกว่าจำเลยเป็นผู้นำรถมาซ่อมก็ตามแต่ข้อแตกต่างดังกล่าวหาเป็นสาระสำคัญแต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยเองก็เบิกความรับว่า เมื่อจำเลยดูรถยนต์กระบะของกลางแล้วตกลงซื้อในราคา 80,000 บาท หากจำเลยมิได้รับซื้อรถยนต์กระบะของกลางไว้ จำเลยคงจะไม่แจ้งความประสงค์ต่อนายสมชัยว่าจำเลยเป็นผู้ชำระเงินค่าซ่อมสีรถเป็นแน่นอกจากนี้ยังได้ความว่ารถยนต์กระบะของกลางมีสภาพเป็นรถใหม่ผู้เสียหายซื้อมาก่อนเกิดเหตุ 5 เดือน ราคา 335,000 บาท ขณะที่จำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลางไม่มีกุญแจและบริวารกุญแจไขประตูและกุญแจสตาร์ทชำรุด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายวงกลมและหลักฐานการทำประกันภัยไม่มีที่รถ หากซื้อขายราคาประมาณ300,000 บาท ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าได้รับซื้อรถยนต์กระบะของกลางไว้ราคา 80,000 บาท จริงตามพฤติการณ์พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลางโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยเคยนำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่นายสมชัยเนื่องจากรถยนต์ของจำเลยมีสภาพเก่าจึงได้บอกนายสมชัยได้ว่าหากมีคนนำรถยนต์บรรทุกเก่ามาขายก็ให้บอกด้วย วันที่ 30 พฤษภาคม 2537 นายสมชัยโทรศัพท์บอกจำเลย รุ่งขึ้นจำเลยมาดูรถที่อู่นายสมชัยโดยนายสมชัยบอกว่านายอ้วน นำมาซ่อม เมื่อพบกับนายอ้วน นายอ้วนเสนอขายราคา 80,000 บาท จำเลยบอกว่าเมื่อรถซ่อมเสร็จและมีหลักฐานทางทะเบียนแล้วก็ตกลงซื้อจำเลยไม่เคยจ่ายค่าซ่อมสีและราคารถจำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดนั้น พยานจำเลยไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน