คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2375/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้เสียหายซึ่งขณะเกิดเหตุมีอายุ 15 ปีเศษยังเป็นผู้เยาว์อยู่ออกจากห้องไปพูดจาปรับความเข้าใจกับจำเลย ห่างจากห้องพักเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปพูดกับจำเลยนั้น การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เสียหาย และไม่เป็นการพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายและพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277, 278, 284, 318, 91
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหากระทำอนาจาร แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาอื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม, 278, 284 วรรคแรก, 318 วรรคสาม เป็นการกระทำความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานะกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธจำคุกตลอดชีวิต ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 6 ปีทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์อยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยใช้อาวุธ คงจำคุก 33 ปี 4 เดือนฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและพิจารณาของจำเลยในความผิดดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี รวมโทษจำคุก39 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก จำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว จำคุก 6 ปี รวมกับโทษฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี คงจำคุก 8 ปี ข้อหาอื่นให้ยกเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยมีห้องพักอยู่ห่างห้องพักผู้เสียหายประมาณ15 เมตร เมื่อคืนวันที่ 25 เมษายน 2537 จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายขณะนั้นมีอายุ 14 ปีเศษ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้อาวุธมีดหรือไม่ ตามรูปคดีข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยกับผู้เสียหายเคยเป็นคนรักกันมาก่อนและมีห้องพักอยู่ใกล้กัน จำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจร่วมประเวณีกันกรณีหาใช่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและจำเลยใช้อาวุธมีดขู่บังคับดังโจทก์ฟ้องไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า จำเลยกระทำผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย และพรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตามฟ้องนั้น ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2537 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายนอนอยู่ในห้องพักกับนางสาวประเลิศ แหวนวง น้าผู้เสียหาย จำเลยได้มาเคาะประตูเรียกเมื่อผู้เสียหายเปิดประตูเห็นจำเลย จำเลยฉุดลากโดยดึงแขนผู้เสียหายไปข้างป่าห่างจากห้องเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร จำเลยพยายามจะถอดเสื้อผ้าแต่ผู้เสียหายดิ้นรนร้องเรียกให้นางสาวประเลิศช่วยพอนางสาวประเลิศออกมาจำเลยก็ปล่อยผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีไปและได้ความจากคำเบิกความของนางสาวประเลิศ แหวนวงน้าผู้เสียหายซึ่งพักอยู่ในห้องพักเกิดเหตุว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ1 นาฬิกา ขณะที่พยานนอนหลับได้ยินเสียงผู้เสียหายร้องขอให้ช่วยจึงเปิดประตูออกไปดู เห็นชายคนหนึ่งคือจำเลยวิ่งไปทางป่าละเมาะห่างห้องพักเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร และเห็นผู้เสียหายอยู่ในที่เกิดเหตุข้างป่าละเมาะกำลังลุกขึ้นยืน สอบถามผู้เสียหายได้เล่าให้พยานฟังว่า มีคนมาเคาะประตูเมื่อผู้เสียหายเปิดประตูแง้มออกดูชายคนดังกล่าวคือจำเลยฉุดลากผู้เสียหายไปข้างป่าละเมาะ แล้วถอดเสื้อผ้าพยายามจะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายได้ร้องเรียกให้พยานช่วย เห็นว่า จากคำเบิกความของผู้เสียหายและนางสาวประเลิศพยานโจทก์ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายร้องเรียกให้นางสาวประเลิศช่วย ตอนที่ผู้เสียหายอยู่ห่างจากบ้านพักเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ขณะที่ผู้เสียหายอ้างว่าถูกจำเลยฉุดลากดึงแขนไปข้างป่าละเมาะ ผู้เสียหายได้ร้องเรียกให้นางสาวประเลิศช่วยไม่ หากผู้เสียหายถูกจำเลยฉุดลากดึงแขนตั้งแต่ประตูห้องพักผู้เสียหายไปห่างประมาณ 10 เมตรจริงผู้เสียหายก็น่าจะร้องเรียกให้นางสาวประเลิศช่วยตั้งแต่แรกที่ถูกจำเลยฉุดลากดึงแขนแล้ว เมื่อพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเคยเป็นคู่รักกันมาก่อน ตามที่ร้อยตำรวจเอกบุญมา สังข์ทองพนักงานสอบสวนเบิกความและจำเลยเคยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยคงมาเคาะประตูเรียกผู้เสียหายเพื่อไปปรับความเข้าใจกันเนื่องจากจำเลยชอบไปพูดประจานผู้เสียหายในวงเหล้าทำนองว่าได้เสียกับผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายจึงโกรธซึ่งก็เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่า ตอนที่จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จำเลยได้ถามผู้เสียหายว่า เพราะเหตุใดจึงแจ้งจับจำเลยผู้เสียหายว่าไม่อยากคบกับจำเลยต่อไป สาเหตุเพราะจำเลยได้คุยกับผู้ที่กินเหล้าด้วยกันว่า ผู้เสียหายได้เสียกับจำเลยนั่นเอง การที่ผู้เสียหายออกมาพบจำเลยห่างจากห้องพักเกิดเหตุประมาณ 10 เมตรนั้น น่าเชื่อว่าผู้เสียหายออกมาพูดกับจำเลย กรณีหาใช่จำเลยฉุดลากดึงแขนผู้เสียหายออกมาจากห้องพักเกิดเหตุดังที่ผู้เสียหายเบิกความไม่ ส่วนการที่ผู้เสียหายร้องเรียกให้นางสาวประเลิศช่วยนั้น กรณีน่าเชื่อว่าจำเลยเข้ากอดจูบผู้เสียหายตามประสาคนรักเก่าและเคยได้เสียกันมาก่อนมากกว่าแต่ผู้เสียหายคงโกรธจำเลยและไม่ต้องการคบกับจำเลยต่อไปเพราะจำเลยชอบไปพูดในวงเหล้าว่าเคยได้เสียกับผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายได้รับความอับอายและโกรธ จึงไม่ยินยอมให้จำเลยล่วงเกินทางเพศต่อไป ผู้เสียหายจึงร้องให้นางสาวประเลิศช่วย การที่ผู้เสียหายซึ่งขณะเกิดเหตุมีอายุ 15 ปีเศษ ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ออกจากห้องไปพูดจาปรับความเข้าใจกับจำเลย ห่างจากห้องพักเกิดเหตุประมาณ10 เมตร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปพูดคุยกับจำเลยนั้น การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เสียหาย และไม่เป็นการพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายและพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share