แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายไม้ให้โจทก์แล้วจำเลยผิดสัญญาขอให้จำเลยชำระค่าปรับตามสัญญาเป็นค่าเสียหายให้โจทก์ ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยอีกว่าผิดสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำให้โจทก์ ทั้งสองคดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่ามิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนี้ ฟ้องของโจกท์ในคดีแรกที่เรียกเบี้ยปรับและในคดีหลังที่เรียกเงินมัดจำนั้นมีประเด็นพิพาทอย่างเดียวกัน คือจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ มูลเหตุที่จะฟ้องคดีทั้งสองก็เป็นกรณีที่จำเลยผิดสัญญาครั้งเดียวกัน ซึ่งโจทก์อาจฟ้องรวมกันมาได้ในคดีแรก ฉะนั้น การฟ้องเรียกเงินมัดจำในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน คดีแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายไม้ยางท่อนให้โจกท์ โจทก์วางมัดจำสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และมีข้อตกลงว่าหากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญา ผู้ผิดสัญญายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งปรับเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วไม่ส่งไม้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อทำสัญญากันแล้ว จำเลยก็ได้จัดเตรียมไม้ให้โจทก์มาตรวจรับมอบตามสัญญา โจทก์ที่ ๒ ไปตรวจสอบและรับรองว่าถูกต้อง ทั้งได้ชำระเงินค่าไม้บางส่วนเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินมัดจำที่จ่ายในวันทำสัญญาจึงเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท พอดีราคาไม้ตกลงมา โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยงดส่งไม้ไว้ก่อน ต่อมาโจทก์ที่ ๒ ขอเลิกสัญญาและยอมให้จำเลยปรับ จำเลยยอมลดค่าปรับให้ คงปรับเพียง ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยได้คืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โจกท์แล้ว จำเลยมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาทำขึ้นระหว่าง โจทก์ที่ ๑ กับจำเลย โดยมิได้ประทับตราบริษัทโจทก์ที่ ๑ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้อง
คดีหลังโจทก์ฟ้องมีใจความตอนต้นทำนองเดียวกับคดีแรกและกล่าวต่อไปว่า จำเลยขอเงินโจทก์ล่วงหน้า ๑๐๐,๐๐๐ บาท อ้างว่าจะนำไปชำระค่าภาคหลวงและจะขนไม้ไปส่งให้โจกท์ แต่จำเลยก็ส่งไม้ให้ไม่ได้ จำเลยจึงขอคืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ และรับจะส่งไม้ให้โจทก์ในภายหลัง แต่จำเลยก็ไม่จัดการอย่างไรจึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำ ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การทำนองเดียวกับคดีแรกและให้การตัดฟ้องอีกว่า สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีหลังเป็นอย่างเดียวกับสัญญาที่โจทก์ฟ้องในคดีแรก มูลคดีเป็นมูลหนี้เดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เฉพาะโจทก์ที่ ๑ มีอำนาจฟ้อง ส่วนโจทก์ที่ ๒ ไม่มี สัญญาซื้อขายตามฟ้องสมบูรณ์มีผลบังคับตามกฎหมาย เงินค่าปรับกับเงินมัดจำเป็นคนละเรื่อง โจทก์จึงแยกฟ้องได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนเงินมัดจะและเสียเงินค่าปรับ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าปรับจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และเงินมัดจำ ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์ ฟ้องของโจทก์ที่ ๒ และคำขอของโจทก์ที่ ๑ ให้ยก
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑ มีอำนาจฟ้อง และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่เห็นว่าเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาสูงเกินส่วน จึงกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เพียง ๘๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคดีหลังที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยเป็นฟ้องซ้ำหรือเป็นการดำเนินการบวนพิจารณาซ้อนนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีแรกที่เรียกที่เรียกเบี้ยปรับและในคดีหลังที่เรียกเงินมัดจำนั้นมีประเด็นพิพาทอย่างเดียวกัน คือจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ มูลเหตุที่จะฟ้องคดีทั้งสองก็เป็นกรณีที่จำเลยผิดสัญญาครั้งเดียวกัน ซึ่งโจทก์อาจฟ้องรวมกันมาได้ในคดีแรก ฉะนั้น การฟ้องเรียกเงินมัดจำในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓(๑) ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเบี้ยปรับในคดีแรกเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๑ ให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีหลังเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
(สอน ไชยสุต ธานินทร์ กรัยวิเชียร ศิริ อติโพธิ)